| ยูเนสโกยกย่อง 
                    พุทธทาสภิกขุ เป็นบุคคลสำคัญของโลก  
                   
  ยูเนสโกประกาศยกย่อง พุทธทาสภิกขุ 
                    เป็นบุคคลสำคัญของโลกและร่วมฉลองชาตกาลครบ 100 ปี ในวันที่ 27 
                    พฤษภาคมปีหน้า เตรียมตั้งกรรมการระดับชาติขึ้นจัดงาน ระบุคำสอนจากหนังสือของพุทธทาสได้รับความยอมรับในระดับนานาชาติ
 นายจาตุรนต์ 
                    ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมสมัยสามัญของ 
                    องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) 
                    เมื่อวันที่ 20 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีมติให้ประกาศยกย่อง พระธรรมโกศาจารย์ 
                    พุทธทาสภิกขุ เป็นบุคคลสำคัญของโลก และบรรจุการเฉลิมฉลองครบชาตกาล 
                    100 ปี ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2549 ซึ่งรัฐบาลจะได้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นโดยอาจมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน 
                    เพื่อเตรียมการเฉลิมฉลอง จัดกิจกรรมวิชาการเผยแพร่หลักธรรมพุทธศาสนาที่พุทธทาสภิกขุได้สั่งสอน 
                    ร่วมกับคณะกรรมการอำนวยการจัดงาน 100 ปี พุทธทาสภิกขุ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ 
                    และลูกศิษย์ของท่าน ซึ่งได้แต่งตั้งไปก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ 
                    16 กันยายน 2548  
                   ความหมายของการเฉลิมฉลองไม่ใช่การจัดมหรสพ 
                    แต่หมายถึงการจัดกิจกรรมทางวิชาการ เผยแพร่ข่าวสารข้อมูลการประชุมเสวนา 
                    ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม รวมทั้งในการเผยแผ่หลักธรรมของพุทธทาส 
                    ซึ่งก็คือหลักธรรมของพุทธศาสนาต่อประชาชนทั่วไปด้วย นายจาตุรนต์ 
                    กล่าว และว่าพุทธทาสภิกขุ นับเป็นคนไทยลำดับที่ 18 ที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้วย 
                     
                   ด้าน นายสันติสุข 
                    โสภณศิริ กรรมการมูลนิธิเสถียรโกเศศ-นาคะประทีป ซึ่งเป็นองค์กรที่ผลักดันให้มีการเสนอชื่อต่อองค์การยูเนสโกครั้งนี้ 
                    เปิดเผยประวัติโดยสังเขปว่าพุทธทาสภิกขุ เดิมชื่อว่า เงื่อม 
                    พานิช เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม 2449 ตรงกับวันขึ้น 
                    7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ในครอบครัวค้าขายของชำ เป็นบุตรของนายเซี้ยงและนางเคลื่อน 
                    พานิช ที่หมู่บ้านกลาง ตำบลพุมเรียง ซึ่งสมัยนั้นยังเป็นที่ตั้งของจังหวัดไชยา 
                    ปัจจุบันคืออำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศึกษาระดับสูงสุดถึง 
                    ม.3 จากนั้นบวชเป็นพระที่วัดโพธาราม ไชยา เมื่ออายุ 20 ปี ได้รับฉายาว่า 
                    อินทปัญโญ แปลว่าผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่ และไม่ได้สึกอีกเลย 
                     
                   หลังจากศึกษาธรรมะจนถึงระดับหนึ่ง 
                    ทำให้ท่านมีความเชื่อว่าพระพุทธศาสนาที่สอนที่ปฏิบัติกันในเวลานั้นคลาดเคลื่อนไปมากจากที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ 
                    ท่านจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปไชยาเพื่อศึกษาตามแนวทางที่ท่านเชื่อมั่น 
                    พร้อมทั้งตั้ง สวนโมกขพลาราม ขึ้นเมื่อวันวิสาขบูชา 12 พฤษภาคม 
                    2475 และได้ประกาศใช้ชื่อ พุทธทาส เพื่อแสดงอุดมคติสูงสุดในชีวิตของท่าน 
                    นายสันติสุข กล่าว  
                   นายสันติสุข 
                    เปิดเผยอีกว่า ท่านได้รับสมณศักดิ์สูงสุดเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมโกศาจารย์ 
                    เมื่อปี 2520 ส่วนในระดับนานาชาตินั้น ปัจจุบันทุกมหาวิทยาลัยที่มีแผนกสอนวิชาศาสนาสากลในหลายประเทศล้วนศึกษางานของท่าน 
                    มีหนังสือได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน 
                    จีน อินโดนีเซีย กว่า 20 เล่ม จากต้นฉบับภาษาไทยทั้งหมด 140 
                    เล่ม  
                   ทั้งนี้ 
                    พระธรรมโกศาจารย์ หรือท่านพุทธทาส นามเดิมคือ เงื่อม พานิช เกิดเมื่อวันที่ 
                    27 พฤษภาคม 2449 เป็นชาวอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อุปสมบทเมื่ออายุ 
                    20 ปี ณ วัดอุบล อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อปี 2469 
                    โดยมีพระครูโสภณเจตสิการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า "อินทปัญโญ" 
                    เดินทางศึกษาธรรมต่อที่วัดปทุมคงคา กรุงเทพฯ สอบได้นักธรรมเอก 
                    และเรียนภาษาบาลีได้เปรียญ 3 ประโยค สร้างสำนักปฏิบัติธรรมที่วัดตระพังจิก 
                    ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 12 
                    พฤษภาคม 2475 ให้ชื่อว่า "สวนโมกขพลาราม" แปลว่าสวนป่าเป็นกำลังหลุดพ้นจากทุกข์ 
                    ต่อมาเมื่อปี 2487 ได้ย้ายสวนโมกขพลารามมายังสถานที่แห่งใหม่คือวัดธารน้ำไหลในปัจจุบัน 
                    ได้อุทิศตนเพื่องานพระศาสนาและทำงานมุ่งช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ 
                    ให้พบสันติสุขตามปณิธานที่ตั้งไว้ มีผลงานทางธรรมไว้มากมาย เช่น 
                    หนังสือและเทปบันทึกเสียง ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งเป็นภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ 
                    ทำให้ได้รับการนับถือยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั้งในและต่างประเทศ 
                    กระทั่งได้รับการยอมรับจากชาวโลกว่าเป็นสมณปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ 
                    ผู้มีบทบาทอย่างสูงต่อพุทธศาสนา พระธรรมโกศาจารย์ มรณภาพเมื่อวันที่ 
                    8 กรกฎาคม 2536 สิริอายุ 87 ปี 67 พรรษา  
                   ที่มา : นสพ.ผู้จัดการ 21 ต.ค.48  
                 |