ธรรมบรรยายเรื่อง
ทำงานให้สนุกได้อย่างไร

โดย พุทธทาส ภิกขุ

ธรรมบรรยาย ให้แก่นักศึกษา คณะเศรษฐศาสตร์
ณ ลานหินโค้ง โมกขพลาราม ไชยา
บรรยายเมื่อ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๗


ท่านที่เป็นนักศึกษาและสนใจในธรรมะ ทั้งหลาย

                  เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดกันกลางดิน ซึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษ คือพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดิน พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้กลางดิน ท่านก็สอนกลางดิน อยู่กลางดิน ที่อยู่กลางดิน แล้วก็นิพพานกลางดิน เราจึงถือว่า แผ่นดินนี้เป็นสัญลักษณ์ ที่อยู่อาศัยที่ทุกอย่าง เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า นี่ขอให้มีความสนใจในข้อนี้ด้วย

                  การอยู่บนตึกบนอาคารราคาแพง คือเรียนในมหาวิทยาลัยตึกราคาแพงนั้น ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พระศาสดาทุกองค์ของทุกศาสนาก็ว่าได้ ล้วนแต่อยู่กลางดินนับตั้งแต่เกิดกลางดินและตายกลางดิน อย่างที่ว่ามาแล้ว ฉะนั้นขอให้มีจิตใจชนิดที่เข้ารูปกันได้กับแผ่นดิน แล้วจิตใจของท่านทั้งหลาย ก็จะเหมาะที่จะฟังธรรมะและเข้าใจธรรมะ ถ้าจิตใจมันบินระเหเร่ร่อนไปสวรรค์วิมาน ไปอะไรอยู่ละก็ยากมากที่จะเข้าใจธรรมะ ฉะนั้นขอให้ถือเป็นสิ่งพิเศษที่ได้ประสบ แล้วก็จดจำไว้ในในใจตลอดไป ถึงการที่ได้มานั่งกลางดินที่นี่และวันนี้ เอามือลูบดินในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า พระพุทธองค์นั้นทรงประสูติกลางดิน อยู่กลางดิน นิพพานกลางดิน

                  และให้มองเห็นอีกแง่หนึ่งว่า ดินเป็นที่ตั้งของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย จะได้สัตว์เป็นคน เป็นต้นไม้ เป็นวัตถุสิ่งของ ก็ล้วนแต่ตั้งอยู่บนพื้นดิน แผ่นดินเป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง มีความหมายเหมือนกับธรรมะ ซึ่งเป็นที่รองรับแห่งสิ่งทั้งปวง แผ่นดินมีความหมายเหมือนกับธรรมะ ซึ่งควรจะกำหนดไว้ด้วย เป็นที่รองรับสิ่งทั้งปวง ธรรมะ หมายถึงสิ่งซึ่งเป็นรากฐานของสิ่งทั้งปวง เกิดมาจากธรรมะหรือธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ ในที่สุดมันก็แตกดับไปตามธรรมชาติ จึงถือว่า แผ่นดินนี้เป็นเหมือนกับธรรมะ ธรรมะเหมือนกับแผ่นดิน ในฐานะที่เป็นที่ตั้งที่รองรับ ที่เกิด ที่ดับ แห่งสิ่งทั้งปวง

                  เอาละ ที่นี้เราก็จะพุดกันถึงหัวข้อที่ท่านทั้งหลายขอร้อง คือหัวข้อที่ว่า การงานคืออะไร? จะทำงานให้สนุกและเป็นสุขในการทำงานได้อย่างไร? หัวข้อนี้ดีมาก หรือดีที่สุดที่จะต้องพูดกัน ในฐานะพื้นฐานทั่วไปสำหรับทุกคนและก็ได้พูดเรื่องนี้อยู่และก็อธิบายให้ชัดเจน ให้ละเอียด ให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป ว่าจะมีความสุขในการงานได้อย่างไร

การงานคือหน้าที่ ที่ต้องทำ

                  สิ่งแรกที่สุดที่จะต้องทราบก็คือว่า การงาน นั้นน่ะ คืออะไรกันเสียก่อน การงานมีความหมายกว้างๆ ที่ทำกันในทางโลกๆ ทางชาวบ้าน ก็ทำการงาน โดยเฉพาะก็คืออาชีพ นี้ก็เรียกว่า การงาน ภิกษุบรรพชิตก็ทำกัมมัฏฐาน ซึ่งแปลว่าที่ตั้งแห่งการงาน ก็ทำการงาน แปลว่า ทั้งฆราวาสและทั้งบรรพชิต ก็ล้วนแต่ ทำการงาน นี่ไปดูที่ตรงนั้นก่อน

                  ถ้าไม่เข้าใจก็ดูต่อไปว่า มันหมายถึงอะไร? มันก็หมายถึงสิ่งที่ต้องทำ คิดดูเถอะ การงานมันแปลว่า สิ่งที่ต้องทำ หรือควรกระทำ หรือระบุได้เลยว่า ต้องทำ ถ้าไม่ทำการงานมันก็คือตาย ไม่ทำการงาน อยู่เฉยๆ เท่านั้นแหละ มันก็ไม่ต้องกินอะไร แล้วมันก็ต้องตาย นี้ก็ต้องทำการงาน การเคลื่อนไหว การบริหารร่างกาย การทำงานหาอาหารมาเลี้ยงชีวิต ก็เรียกว่าการงาน

                  ที่นี้ก็เห็นได้ว่า การงาน นั้นคือสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ต้องทำนั้นเรียกว่า หน้าที่ หน้าที่ จำคำว่า หน้าที่ หน้าที่ ไว้ให้ดี ถ้าเข้าใจคำว่าหน้าที่ แล้วจะเข้าใจสูงขึ้นไปถึงคำว่า ธรรมะ ธรรมะ คุณอาจจะไม่เคยเล่าเรียน ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาว่า คำว่า ธรรมะ ธรรมะนั้นแปลว่าหน้าที่ เพราะว่าในโรงเรียน ในหนังสือเรียน จะพูดกันแต่ว่าธรรมะ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะ คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เท่านี้มันไม่พอ มันไม่ถูกด้วย เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ ธรรมะนี้ เขาพูดกัน เขามีกัน เขาใช้กันอยู่ตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด คำว่า ธรรมะ ธรรมะ นี้มีมาก่อนพระพุทธเจ้าเกิด เขาหมายถึงหน้าที่ หน้าที่ นั่นน่ะคือธรรมะ คือพอมนุษย์พ้นจากความป่าเถื่อน พ้นจากความเป็นคนป่ามาพอสมควรแล้ว ก็มีมนุษย์ที่สังเกตเห็นว่า เออ มันมีสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ที่ต้องทำน่ะ เขาเรียกสิ่งนั้นโดยภาษาของเขาสมัยนั้นว่า ธรรมะ ซึ่งเป็นคำโบราณ เก่าแก่ ดึกดำบรรพ์ที่สุดว่าธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ แปลว่า หน้าที่ เมื่อคนเล็งเห็นหน้าที่ หรือความจำเป็นของหน้าที่ เขาก็เรียกสิ่งนั้นว่า ธรรมะ ธรรมะ ฉะนั้นให้รู้กันเสียไว้ทีก่อนว่า ธรรมะนั้นคือหน้าที่

                  เขาก็พูดกันเรื่องหน้าที่ พูดกันเรื่องหน้าที่ คำพูดนี้มากขึ้นๆ จนเป็นระบบคำสอน เป็นระบบ ก็เรียกว่าธรรมะ แปลว่า หน้าที่ แต่มันมิได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้นมันมากขึ้นๆ สูงขึ้น ดีขึ้นๆ คำว่า ธรรมะมันก็มากขึ้น ดีขึ้นและสูงขึ้น จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลก ท่านก็สอนเรื่องหน้าที่คือธรรมะนี่สูงขึ้นไปจนถึงสูงสุด คือบรรลุมรรคผลนิพพาน ฉะนั้น ขอให้เข้าใจความหมายของคำว่า หน้าที่ หน้าที่ คือคำว่า ธรรมะ ธรรมะ นั่นแหละ คือหน้าที่มันก็มีแต่ว่า คำสอนเรื่องหน้าที่ ตามแบบของสำนักนั้น ตามแบบสำนักนี้ ตามแบบสำนักโน้น ซึ่งมีอยู่หลายสำนัก ฉะนั้น เขาจึงระบุบว่า ชอบธรรมะของใคร? ชอบธรรมะของพระสมณโคดม หรือชอบธรรมะของศาสนาชื่ออะไร? ทุกศาสนาล้วนแต่สอนเรื่องหน้าที่ แต่ท่านสอนกันเฉพาะในระดับสูง ไม่ลดลงมาถึงระดับต่ำ เช่าทำนา ทำไร่ ฉะนั้นสิ่งที่เราได้ยิน เรียกว่า ธรรม ธรรมะนั้นจึงได้ยินพูดกันแต่เรื่องระดับสูง ไปสวรรค์ บรรลุมรรคผลนิพพานทั้งนั้น แต่ที่จริงธรรมะระดับต่ำ ทำไร่ทำนา ของชาวไร่ชาวนานี้ เขาก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน คือธรรมะของฆราวาส ธรรมะของชาวไร่ ธรรมะของชาวนา แล้วแต่ว่าเป็นหน้าที่ชนิดไหน ก็ธรรมะชนิดนั้น ที่เป็นชั้นสูงก็เรียกว่า กรรมฐานสำหรับบรรพชิต สำหรับภิกษุสามเณร ทำกรรมฐานก็คือทำงาน หรือทำหน้าที่ จึงเห็นได้ชัดว่า ธรรมะ คือหน้าที่ ธรรมะ คือหน้าที่

                  ทีนี้ดูกันต่อไปจากคำว่า หน้าที่ คำว่า หน้าที่ก็คือ สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตทุกชนิดและทุกระดับ ชีวิตทุกระดับ จะเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัยฉาน กระทั่งเป็นต้นไม้ต้นไล่อย่างนี้ มันมีชีวิตทั้งนั้นแหละ ถ้ามีชีวิตมันก็ต้องมีหน้าที่ แล้วมันก็ต้องทำหน้าที่ ถ้ามันไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย ลองคนไม่ทำหน้าที่มันก็ตาย ไม่เคลื่อนไหว ไม่บริหารกาย ไม่กินอาหาร ไม่อะไรต่างๆ มันก็ตาย สัตว์ก็เหมือนกัน จึงเรียกได้ว่า ชีวิตมันอยู่ได้ด้วยหน้าที่ ด้วยการทำหน้าที่ หน้าที่จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต หน้าที่ก็คือธรรมะอย่างที่ว่ามาแล้ว เพราะฉะนั้น ธรรมะก็คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิตนั่นเอง

                  เราต้องมองเห็นความสำคัญ ความสูงสุด ประเสริฐที่สุด ของสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ แล้วก็ชอบหน้าที่ บูชาหน้าที่ จึงชอบการงาน ขอบการงาน เห็นการงานเป็นสิ่งสูงสุด ไม่เหมือนกับคนโง่ทั้งหลายที่ไม่ชอบทำหน้าที่ อย่างอุดมคติของคนบางพวกว่า ไม่ต้องทำงาน แต่ต้องได้เงิน ต้องการเงิน ต้องได้เงิน นี้ก็มีอยู่พวกหนึ่ง อย่าไปออกชื่อเขาเลย ลัทธิชนิดนั้นเขามีอยู่ในโลกนี้ ไม่ต้องทำการงาน แต่ต้องการเงิน แล้วก็ต่อสู้ แย่งชิงเพื่อให้ได้เงินโดยไม่ต้องทำการงาน หรือทำการงานแต่น้อยที่สุด มันก็มีการต่อสู้ระหว่างชนกรรมมาชีพกะนายทุน พวกหนึ่งต้องการทำงานน้อยที่สุด เอาเงินมากที่สุด นี่เพราะเขาไม่มองเห็นอย่างเรามองเห็นว่า หน้าที่มันเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับมนุษย์ ฉะนั้นขอให้ทำให้เต็มที่ ทำให้สุดเหวี่ยง สุดความสามารถ แล้วปัญหาก็จะหมด มันก็ไม่เกิดการต่อต้านชนิดนี้กันให้ลำบากกันไปทั้งโลก

                  เราก็จะอยู่ในพวกที่ไม่ชอบทำงาน ไม่บูชาการงาน ด้วยก็ได้ เพราะเราก็ยังโง่อยู่ ไม่รู้ว่าหน้าที่คือธรรมะ ธรรมะคือหน้าที่ เราอยากทำงานแต่น้อย เราก็ไปทำงานสาย แล้วก็กลับบ้านเร็ว นั้นคือคนที่ไม่รู้ว่าหน้าที่คืออะไร ถ้ารู้ว่าหน้าที่คือสิ่งสูงสุด ประเสริฐที่สุดของสิ่งมีชีวิต เราก็พอใจแล้วก็ทำ อันนั้นจะเป็นเหตุให้ทำการงานสนุก

ผลของการทำหน้าที่คือความรอด

                  เดี๋ยวนี้อยากจะพูดไปในความหมายของหน้าที่ หน้าที่ คือสิ่งจำเป็นของสิ่งที่มีชีวิต ผลของมันคือความรอด ดูที่หน้าที่ แล้วก็ดูผลของหน้าที่ ก็คือความรอด ฉะนั้นช่วยจำคำว่า ความรอด นี้ไว้ให้ดีๆ ทุกศาสนา ทุกศาสนาในโลก ก็จะมีจุดหมายปลายทาง เรียกตรงกันเหมือนกันหมดว่า ความรอด จนพูดได้ว่า มีความรอดตามแบบของพุทธศาสนา มีความรอดตามแบบคริสตศาสนา ความรอดตามแบบศาสนาอิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกซ์ อะไรก็สุดแท้ ล้วนแต่มุ่งที่ความรอดๆ ด้วยกันทั้งนั้น

                  นี่ของที่ศาสนาเหมือนกัน หรือตรงกัน ก็คือว่าสอนหน้าที่เพื่อความรอด ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเราถือพระพุทธศาสนา ก็มีหน้าที่ตามแบบพุทธศาสนา มีความรอดตามแบบพุทธศาสนา ดับทุกข์สิ้นเชิงตามแบบของพุทธศาสนา ดับทุกข์สิ้นเชิงตามแบบของพุทธศาสนา แต่ก็ไม่พ้นที่จะเรียกว่า ความรอด ความรอด ความหลุดพ้น สวนโมกข์นี้ก็เอาคำนี้มาใช้เป็นชื่อ เป็นชื่อ โมกฺข โมกข์ แปลว่า รอด หลุดพ้น เหมือนกัน

                  ที่นี้ความรอดนั้นก็มี ๒ ระดับ ระดับทั่วไป เป็นความรอดทางร่างกาย รอดทางร่างกาย ระดับสูงขึ้นมา คือความรอดทางจิตใจ รอดทางร่างกาย ก็คือไม่ตาย แล้วก็สบาย ร่างกายอยู่ในสภาพที่ดี นี่รอดทางกายมีเท่านี้ คือไม่ตาย แล้วก็อยู่ในสภาพที่ดี เท่านี้มันไม่พอ มันมีจิตใจอีกส่วนหนึ่ง มันยังมีปัญหาถูกกลุ้มรุมด้วยความทุกข์ ด้วยกิเลส ด้วยกรรม ด้วยอะไรต่างๆ ต้องรอดทาง จิตใจอีกชั้นหนึ่งด้วย รอดชั้นที่ ๒ คือรอดทางจิตใจ ถ้ารอดทางจิดใจ แล้วจิตใจก็พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในทางจิตใจ นี่เป็นความรอดที่ศาสนาทุกศาสนามุ่งหมาย ของพุทธศาสนาก็ไปจนถึงบรรลุนิพพาน พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย พ้นจากปัญหาทุกชนิด นี่ความรอดสูงสุดอยู่ที่นี่

                  รวมความแล้ว ความรอดมีอยู่ ๒ ความหมาย คือรอดทางกายและรอดทางจิตใจและรอดนี้เป็นผลของหน้าที่ ของการทำหน้าที่ หรือการทำการงานนั่นเอง ดังนั้น เรามองดูทีเดียวตลอดว่า การงานก็คือสิ่งที่ทำให้เกิดความรอด ทั้งทางกายและทางจิต เราต้องการงานทั้งทางการและทางจิต จึงจะรอดทั้งสองทาง

                  เดี๋ยวนี้คน ชาวบ้านธรรมดารู้จักแต่รอดทางกาย เขาก็ทำกันแต่รอดทางกาย แล้วทำกันจนเฟ้อ จนกลายเป็นผิดไปเสีย คือมันเกินรอดไปเสีย แทนที่จะเป็นรอดทางกายมันกลายเป็นฟุ่มเพือย ฟุ้งเฟ้อทางกาย จนเงินเดือนไม่พอใช้ นี่มีเกินความรอดไปเสียอีก มันเกินความหมายของคำว่าความรอด มันกลายเป็นบำรุงบำเรอฟุ้งเฟ้อแก่ทางร่างกาย ก็เลยกลายเป็นทาส เป็นทาสทางร่างกาย เป็นทาสของร่างกาย เป็นทาสของกิเลส แทนที่จะเป็นความรอดมันกลายเป็นทาส เป็นความติด ติดคุกติดตะรางของกิเลสนั้น ฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิดว่าไปบำรุงบำเรอทางร่างกายอย่างที่ทำกันแล้วมันก็จะรอด หรือมันก็จะดี คิดดูเถอะคนที่หลงใหลเรื่องความสุขทางเนื้อหนังนั้น ก็ไปติดคุกติดตะราง เป็นทาสของร่างกายทั้งนั้นแหละ ต้องหามา บำรุงร่างกายเกินพอดี อย่างที่เรามีๆ กันอยู่ในบ้านในเรือนมีสิ่งที่ไม่จำเป็นเยอะแยะไปหมด นั้นมันคือความโง่ ไปหามาเพื่อบำรุงบำเรอทางกาย แล้วมันก็เกินความรอดทางกาย กลายเป็นความฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อในร่างกาย ก็ได้เป็นทาส เรื่องมันก็จบกันแหละ ถ้าทางกายมันก็ยังผิด แล้วทางจิตมันก็ผิด

                  เดี๋ยวนี้เราทำให้ร่างกายอยู่สบาย เหมาะสมที่จะทำการงาน มีสุขภาพดีก็พอแล้ว ทีนี้เวลาเรี่ยวแรง ทรัพย์สมบัติที่เหลือจากนั้น ก็ขวนขวายเพื่อทำความรอดในทางจิตใจต่อไป จึงศึกษาธรรมะและปฏิบัติธรรมะอยู่เป็นประจำ

                  นี่เรียกว่า ทำการงานทั้งทางกายและทางจิตใจนี้ต้องทำให้ถูกต้อง ให้พอดี หรือให้เหมาะสม แต่ถ้าทำด้วยความไม่อยากทำ ไม่ทำดีกว่า ไปทำงานก็สาย กลับมาก็โกงเวลา นี้เรียกว่าคน ไม่ซื่อตรง คนไม่รู้หน้าที่การงานว่าคืออะไร ไม่บูชาการงาน คนอย่างนี้มันน่าละอายสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันไม่เคยโกงเวลา ไม่เคยโกงหน้าที่สัตว์เดรัจฉาน คนนี่ตัวโกงเวลา โกงหน้าที่การงาน แม้ที่เป็นของตนเองก็ยังโกงคือขี้เกียจ ที่เป็นข้าราชการด้วยแล้วยิ่งได้โกงกันใหญ่เลย

                  นี่อยากจะให้คิดถึงเรื่องต้นไม้ต้นไร่นี้ มันมีชีวิตเหมือนกันและมันก็ต้องทำการงานเหมือนกันนะ ตามที่เราเรียนๆ กันมานี้ว่า ต้นไม้นี้เวลากลางวันมันคายแก๊สออกซิเยน แล้วกลางคืนมันคายแก๊สที่ตรงกันข้าม คือแก๊สคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ก็แปลว่ามันทำงานทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่อย่างนั้นจะเอาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไหนมาคายได้ตลอดวัน หรือจะเอาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ไหนมาคายได้ตลอดคืน แปลว่าต้นไม้ทำงาน ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเทียบกับ คนทำงาน ๘ ชั่วโมง ก็ยังโกงเวลา นี่ควรจะละอายบ้าง คือว่าทำงานให้เต็มให้บริบูรณ์ตามหน้าที่ ตามความหมาย ตามคุณค่าของการงาน

ต้องทำการงานให้เหมาะสมสถานะ

                  นี่อยากจะขอเตือนกันเป็นข้อแรกว่า จะต้องทำการงานให้เหมาะสมกับสถานะของตน เป็นมนุษย์ทำการงาน ถ้าเป็นเทวดา ถ้ามีเทวดา ก็ต้องทำหน้าที่ของเทวดาเหมือนกันแหละ สัตว์เดรัจฉาน ทำหน้าที่สัตว์เดรัจฉาน ต้นไม้ทำหน้าที่ต้นไม้ แต่เป็นหน้าที่ที่ถูกต้อง คือหน้าที่เพื่อความรอด หน้าที่เพื่อคดโกงเพื่อกิเลสนั้นไม่ใช่หน้าที่ เช่นคนอันธพาลก็จะพูดว่า ฉันมีหน้าที่ปล้น จี้ ขโมย ฉันมีหน้าที่อย่างนี้ นั้นมันไม่ถูก หน้าที่อย่างนั้นไม่ใช่เพื่อความรอด มันเพื่อสร้างปัญหา เพื่อสร้างความทุกข์ขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่า คำว่าหน้าที่นั้นต้องถูกต้อง

                  ทีนี้คำว่า ถูกต้อง ตามภาษาธรรมะนั้น คือเกิดประโยชน์แก่ทุกคน ไม่เป็นโทษแก่ผู้ใด ไม่เป็นโทษ แก่ผู้ใดและเป็นประโยชน์แก่ทุกคน นั้นเรียกว่าถูกต้อง ฉะนั้นคำว่า หน้าที่ หน้าที่นี้ต้องหมายถึงหน้าที่ที่ถูกต้องไม่เป็นอันตรายแก่ใคร แต่เป็นประโยชน์แก่ทุกคน

                  ขอให้เราทุกคนยึดหน้าที่ที่ถูกต้อง มีหลักยึดหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของเรา ก็จะเรียกว่า มีหน้าที่อย่างมนุษย์ มีธรรมะอย่างมนุษย์ นี่การงานคือสิ่งนี้ นี่ในความหมายแรกที่จะต้องพูด การงานก็คือสิ่งนี้

                  การงาน คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต ทำแล้วเกิดความรอดทั้งทางกายและจิตใจ นั่นแหละคือการงาน เป็นฆราวาสก็อยู่ในระดับฆราวาส เป็นบรรพชิต เป็นนักบวช ก็สูงขึ้นไปถึงระดับบรรพชิต แต่ก็เรียกว่าการงานทั้งนั้น ดังนั้นบรรพชิตก็ทำการงานตามหน้าที่ของตน เช่นที่เรียกว่าทำกัมมัฏฐาน ทำกัมมัฏฐานนั่นน่ะคือการงานสูงสุด กมฺมแปลว่า การงาน ฐานแปลว่า ที่ตั้ง กัมมัฏฐานคือที่ตั้งของการงาน หมายความว่าการงานที่มันไม่แน่นอน แน่นเฟ้น ประเสริฐสูงสุด เอาละเป็นอันว่า ทำกันทั้งฆราวาสและบรรพชิต นี่คือการงาน

                  สรุปสั้นๆ ว่าการงาน คือหน้าที่ของสิ่งที่ชีวิตทุกชนิด แล้วเรียกว่าโดยภาษาโบรมโบราณเก่าแก่ ธรรม ธรรมะ หรือธรรม คำนั้นแหละแปลว่า หน้าที่ ดังนั้น การงานก็คือธรรมะ นั่นเอง สรุปแล้วการงานคือธรรมะทุกระดับ การงานก็มีหลายระดับ ธรรมะจึงมีหลายระดับ ตามความหมายเดียวกัน

ทำงานให้สนุก เป็นสุขในการทำ

                  เอ้า ทีนี้ก็มาถึงประเด็นที่ ๒ ที่ว่า เราจะสนุกและเป็นสุขในการทำงานได้อย่างไร? นี่มันตอบอยู่ในตัวแล้วนะ ถ้าเราเห็นแจ้งในใจว่า การงานคือธรรมะ การงานคือธรรมะ ธรรมะคือการงาน อย่าโง่ เหมือนที่เคยโง่มาแต่ก่อน ว่าธรรมะไม่รู้อะไร ต้องไปทำกันที่วัด ไปงุบงิบอะไรกันอยู่ที่วัด ไปสวดมนต์ภาวนากันอยู่ที่วัด ไม่ได้หมายถึงหน้าที่การงานที่ทำกันอยู่ทุกวัน นั้นมันเข้าใจผิด การงานทุกชนิดทุกระดับเป็นธรรมะเสมอกัน ทำนาทำสวนอยู่ ก็เป็นธรรมะของชาวนาชาวสวน ค้าขายอยู่ก็เป็นธรรมะของคนค้าขาย ทำราชการอยู่ก็เป็นธรรมะของข้าราชการ เป็นกรรมกรทำงานอยู่ ก็เป็นธรรมะของกรรมกร กระทั่งนั่งขอทานอยู่ก็เป็นธรรมะสำหรับคนขอทาน ขอให้ทำไปให้ดีเถอะ ธรรมะจะช่วยให้หลุดพ้นจากสภาพอย่างนั้น ทำหน้าที่ขอทานดีๆ ไม่เท่าไรก็พ้นจากสภาพขอทาน ไปเป็นอย่างอื่นได้ ชาวนาชาวสวนทำงานหนักอยู่ ทำให้ดีๆ มันจะพ้นสภาพจากความหนักความเหนื่อย พ้นสภาพจากความเป็นชาวนาชาวสวน กลายเป็นผู้มีเงิน ผู้มั่งมีได้เหมือนกัน

                  ฉะนั้นเรารู้เสียก่อนซิว่า การงานน่ะคือธรรมะเราจะเห็นด้วยตนเองว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือช่วยให้พ้นจากความต่ำ ไม่ตกต่ำ แล้วก็สูงขึ้นไปๆ สูงขึ้นไปจนพ้นจากความทุกข์ หรือปัญหาทั้งปวง

                  นี่เมื่อรู้ว่า การงานคือธรรมะ คนก็รักการงาน บูชาการงาน อยากจะทำงาน นี่เพราะอย่างนี้จึงทำงานสนุก เพราะรู้สึกว่าการงานคือสิ่งสูงสุดของมนุษย์ ก็ทำ แล้วก็พอใจ ว่าได้ทำสิ่งที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด มีเกียรติที่สุดของมนุษย์ มันก็สนุกซิ

                  ที่เราทำไม่สนุกน่ะ เพราะเรามองไม่เห็นความประเสริฐของการงาน เราฝืนใจทำ พอเหงื่อออกมาก็โกรธ โมโห โทโส นี้มันคนโง่ ถ้าคนฉลาด ทำงานพอเหงื่อออกมา เขาบอกว่าเป็นน้ำอมฤต มาอาบ รดเราให้เยือกเย็น เหงื่อกลายเป็นน้ำมนต์ที่เยือกเย็น มารดให้พอใจในการงาน เขาก็ทำงานสนุก เหงื่อออกมากเท่าไรยิ่งพอใจ

                  นี่เด็กโง่ๆ จะเข้าใจอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ความหมายของคำว่าสนุก ที่ถูกต้องตามแบบของธรรมะ คือหน้าที่ของมนุษย์ ถ้าพอใจแล้วมันก็สนุกแหละ ถ้าพอใจแล้วมันก็สนุกละ การงานก็กลายเป็นของชวนให้ทำ เหมือนกับการเล่นไปเลย เราเล่นหัวสนุกสนานอย่างไร คนที่รู้จักธรรมะว่าคือหน้าที่การงานแล้ว เขาก็ทำงานทั้งหลายสนุกไปอย่างนั้น

                  คนบางคนทำงานสนุก เพราะเห็นแก่เงิน นั้นมันก็ได้เหมือนกัน ก็สนุก พวกกรรมกรทำงานสนุกก็เพราะเห็นแก่เงิน นั้นยังไม่ดีเท่าไร ถ้าใครทำงานเพราะรู้สึกว่างานคือหน้าที่ งานคือธรรมะ งานคือเกียรติยศของมนุษย์ งานคือสิ่งประเสริฐสำหรับมนุษย์ รู้สึกอยู่ในใจอยู่อย่างนั้นแล้วก็ทำงานสนุก งานนั้นก็จะเป็นการเล่นสนุก เหมือนเล่นกีฬาไปก็ได้ นี่จะทำงานสนุก ก็เพราะมองเห็นว่างานนั้นคือธรรมะ คือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิต เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดของสิ่งที่มีชีวิต อย่าลืมในข้อนี้เสีย แล้วก็พอใจ

                  ความพอใจนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับอันหนึ่ง คือความพอใจนั้นจะทำให้เกิดความสุข ถ้าไม่พอใจแล้วไม่มีทางที่จะเกิดความสุข ถ้าพอใจอย่างเลว พอใจอย่างผิด พอใจอย่างโง่ อย่างต่ำ มันก็เป็นความสุขอย่างเลว อย่างโง่ อย่างต่ำ ไปตามความพอใจ ถ้าความพอใจนั้นมันถูกต้อง มันสูง มันประเสริฐ ก็ให้เกิดความสุขชนิดที่สูง ที่ประเสริฐ จึงแล้วแต่ความพอใจนั้นเป็นอย่างไร พอใจระดับไหน พอใจระดับสูงสุด ก็เพราะรู้สึกธรรมะอยู่ในใจ ก็พอใจระดับสูงสุด ก็เกิดความสุขระดับสูงสุด

ความพอใจเป็นเหตุให้เกิดสุข

                  นี่ความพอใจเป็นเหตุให้เกิดความสุข มีอยู่เป็นระดับๆ หรือชนิด ถ้าพอใจผิด ความสุขก็ผิด เป็นความสุขโง่ เป็นความสุขหลอกลวงเช่นจะไปชอบอบายมุขดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่นๆ ล ๆ ไปชอบใจอบายมุข พอใจอบายมุข มันก็ได้ความสุขชนิด หลอกลวงมา ไม่เท่าไรก็ฆ่า ทำลายบุคคลนั้นเอง ทีนี้พอใจหน้าที่ที่ถูกต้องหรือธรรมะ มันก็ไม่เกิดผลอย่างนั้น มันเกิดผลในทางความถูกต้อง ความสุขความเจริญ ก็เจริญอยู่ได้ ความพอใจชนิดนี้ไม่ให้โทษ มันจะทำให้เกิดความก้าวหน้า ทำให้เกิดความสุข อยู่ตลอดเวลาที่ทำการงาน

                  นี่แหละจะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่า การงานและรู้จักสิ่งที่เรียกว่า ความพอใจในการงาน แล้วก็จะรู้สึกความสุขที่เกิดมาจากความพอใจ ดังนั้น จะต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ นี่กันเสียก่อน ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด ว่าธรรมะคือหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดทุกระดับ เราเรียกว่าธรรมะหรือพระธรรมก็ได้ แล้วก็พอใจในความหมายของคำว่า ธรรมะ หรือพระธรรม เพราะเป็นสิ่งสูงสุดนั่นเอง

                  ฉะนั้น ขอให้ทุกคนมีจิตใจแจ่มแจ้งสูงขึ้นมาถึงขั้นนี้ ถึงขั้นที่จะทำให้พอใจในหน้าที่การงาน ครั้นพอใจมันก็เป็นสุข เมื่อเป็นสุขมันก็ทำสนุกไป เหงื่อไหลไคลน้อย มันก็ยิ่งเห็นเป็นน้ำเย็น เป็นน้ำมนต์ เป็นสิ่งที่มีค่า มาทำให้เกิดความสำเร็จสูงยิ่งๆ ขึ้นไป ดีกว่าไปรดน้ำมนต์ที่เขาไปรดๆ กัน ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น นอกจากหลอกให้สบายใจไปพักหนึ่ง ถ้าน้ำมนต์ คือเหงื่อที่ออกมาจาการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง น้ำมนต์นี้ช่วยไม่ได้ ช่วยได้ตลอดไปเลย จนถึงบรรลุผลขั้นสูงสุด

                  นี่แหละที่เรียกว่า มันจะเป็นสุขหรือสนุก ในหน้าที่การงานได้ เพราะเหตุที่รู้ว่า การงานนี้น่ะคือหน้าที่ หรือธรรมะ หรือสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต ทุกชนิดและทุกระดับ ทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ แม้กระทั่งต้นไม้มันมีหน้าที่ๆ หน้าที่ แล้วทำหน้าที่ๆ ทำหน้าที่ นั้นน่ะคือธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ อยู่ที่การทำหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่อยู่อย่างว่าทำหน้าที่เป็นข้าราชการอยู่ที่ออฟฟิศ จะรู้สึกพอใจทุกขั้นตอนของหน้าที่ เป็นสุขอยู่ทุกเวลาที่ทำหน้าที่ แล้วก็ทำให้ดีขึ้นๆ ดีขึ้น ความสุขก็สูงขึ้น เพิ่มขึ้น หรือดีขึ้นจนกว่าจะถึงที่สุด จึงขอให้มองเห็นความสุขชนิดที่แท้จริงที่หาได้จากการทำการงาน

สุขที่แท้จริงมาจากความพอใจที่ถูกต้อง

                  เอาละ ทีนี้เราก็มาถึงคำว่า ความสุขที่แท้จริง ความสุขที่แท้จริง มันหมายถึงความสุขที่ไม่หลอกลวง ความสุขที่หลอกลวง เป็นขอบกิเลสของความโง่ ถ้ามีความโง่ก็ต้องไปหลงเอาของที่ไม่ใช่ความสุข มาเป็นความสุขเสมอ เขาเรียกกันมาแต่โบราณว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มีอยู่เป็นอันมากนะ คนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แล้วก็วินาศทุกคนเลย ถ้าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไปเอกสิ่งที่มิใช่ความสุขมาเป็นความสุข ก็ลุ่มหลงหนักเข้าๆ มันก็เป็นเหยื่อของกิเลสตัณหาเหล่านั้น จนหมดเนื้อหมดตัว เป็นข้าราชการก็ต้องคดโกง ต้องคอร์รัปชั่น ไม่เท่าไรก็ต้องได้รับผลของความคดโกง นี่ก็เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัวอย่างนี้

                  ทีนี้เราไม่เป็นอย่างนี้ รู้จักว่าการงานนั่นน่ะคือธรรมะ สิ่งสูงสุด แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพธรรมะ นี้เราก็พอใจ เคารพธรรมะ มันก็เป็นความพอใจที่บริสุทธิ์ มันจึงเป็นความสุขที่บริสุทธิ์ คือความสุขที่แท้จริง อย่าไปเอาเปรียบกับความสุขในสถานเริงรมณ์ กินเหล้า เมายา ความสุขทางสถานเริงรมณ์นั้น มันไม่ใช่ความสุขในทางธรรมะ เขาเรียกว่าความเพลิดเพลิน คำว่า ความเพลิดเพลินนั้นเป็นคนละอย่างกับความสุข ความสุขนั้นมันชวนไปในทางที่สงบเย็น ความเพลิดเพลิน มันก็ชวนไปในทางหลงใหล เตลิดเปิดโปง ในที่สุดก็ไปสู่ความร้อน

                  ฉะนั้น ความสุขที่แท้จริง ต้องมาจากความพอใจที่แท้จริง ความพอใจที่แท้จริงก็ต้องมาจากการทำหน้าที่ถูกต้องและแท้จริง ฉะนั้นก็เลือกสรรหน้าที่ให้ถูกต้องๆๆ แล้วก็ทำ ทำอย่างถูกต้อง ก็ได้รับความพอใจอย่างถูกต้อง ก็มีความสุขอย่างถูกต้องและแท้จริง คือมันไมทำอันตรายใคร มันเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายและทุกคน นี้เรียกว่าถูกต้อง ทีนี้ถูกต้องแล้วก็พอใจสิ ฉะนั้นเราต้องมีสติ สติกำหนดให้ละเอียด ละเอียดทั่วถึงว่ามันถูกต้อง มันถูกต้อง คืออย่างนี้คือไม่ถูกต้อง ทำงานนี้คือถูกต้อง เมื่อถูกต้องก็พอใจ

                  จำคำ ๒ คำว่า ถูกต้องและพอใจ ต้องทำให้มันเกิดอยู่เสมอ ถูกต้องและพอใจ ลุกขึ้นไปทำงานสิ่งนี้ก็ต้องด้วยความรู้สึกว่าถูกต้องแล้ว ควรทำแล้ว ทำเสร็จแล้วถูกต้อง แล้วก็พอใจ ไปเสียทุกอย่างทุกชนิดของหน้าที่การงาน แม้แต่จะกลับบ้าน ก็ถูกต้องและพอใจ มากินอาหารก็ถูกต้องและพอใจ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ ต้องกินอาหารอย่างถูกต้อง ถ้ากินไม่ถูกต้องมันเป็นโทษ ฉะนั้นต้อนกินให้มันถูกต้องแล้วก็พอใจ ไปอาบน้ำก็ถูกต้องและพอใจ ถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสวะ ก็ต้องด้วยสติทำให้ถูกต้องและพอใจ จะกวาดบ้านถูบ้าน ล้างจานบ้าง ถ้าจะช่วยทำก็ถูกต้องและพอใจ นี่อย่างนี้ ไปล้างจาน ไปช่วยแม่ครัว ล้างจาน ก็ถูกต้องและพอใจ ถ้ามันมีความถูกต้องและพอใจเกิดขึ้นแล้ว เป็นความสุขที่ถูกต้องที่ควรจะพอใจแล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นความสุข

                  สรุปความได้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น มันมาจากการทำงานที่ถูกต้องและแท้จริง จงทำการงานให้ถูกต้องและให้แท้จริง ทุกการงานที่ทำ ตื่นขึ้นมาทำอะไรไล่ไปดูเถอะ ตื่นขึ้นมารู้สึกว่า โอ้ ถูกต้องแล้ว นอนคือหนึ่งนี้ถูกต้องแล้ว พักผ่อนถูกต้อง แล้วก็พอใจ ไปล้างหน้าก็มีสติว่า เอ้อ มันถูกต้องแล้วที่ต้องล้างหน้า แล้วก็พอใจ ไปห้องน้ำ ก็ทุกอย่างในห้องน้ำก็ถูกต้องและพอใจ ไปรับประทานอาหาร ก็ทุกอย่างถูกต้องและพอใจ เตรียมตัวไปทำงาน ถูกต้องและพอใจ เดินทางไปทำงาน ถ้าต้องเดินไปด้วยเท้า ก็ทุกฝีก้าวถูกต้องและพอใจ ถูกต้องและพอใจ ทุกก้าวเท้าที่ย่างไปทำงาน ถ้าไปด้วยยานพาหนะก็ถูกต้องและพอใจ ไปถึงออฟฟิศแล้วก็ลงมือทำงาน ก็ถูกต้องต้องและพอใจ

เมื่อรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ นั่นคือสวรรค์

                  นี่ อยู่ด้วยความรู้สึกว่า ถูกต้องและพอใจจนกว่าจะหลับ จนกว่าจะถึงเวลาค่ำพักผ่อนและนอนหลับก่อนแต่จะนอนหลับ ก็มาใคร่ครวญดูว่า โอ้ ตั้งแต่เช้ามาจนบัดนี้ก็ถูกต้องและพอใจ แล้วก็ยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นน่ะคือสวรรค์ ขอบอกให้ทุกคนที่ไม่เคยรู้ว่า สวรรค์ที่แท้จริงนั้น คือเมื่อยกมือไหว้ตัวเองได้ มองเห็นแต่ความถูกต้องของตัวเอง จนยกมือไหว้ตัวเองได้ นั่นคือสวรรค์ที่แท้จริง ไม่ใช่สวรรค์หลอกๆ อย่างที่เขาหลอกให้หลงให้เมาสวรรค์กันนั้น นั้นสวรรค์หลอก สวรรค์ที่แท้จริงอยู่ที่นี่ตรงนี้ เมื่อรู้สึกว่าถูกต้องและพอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อไร เป็นสวรรค์ที่นั้น เมื่อนั้นและถูกต้องแท้จริงสวรรค์ที่ถูกต้องและแท้จริงคือสวรรค์อย่างนี้ คือการยกมือไหว้ตัวเองได้

                  ที่นี่สวรรค์อื่นๆ สวรรค์อย่างอื่น ถ้ามี ที่เขาพูดๆ กันน่ะ จะมีอยู่อีกกี่สวรรค์ มันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์นี้ทั้งนั้น มันต้องมีสวรรค์อย่างนี้ แล้วมันจึงจะไปสวรรค์อย่างนั้นได้จะต้องมีการถูกต้องจนพอใจแล้ว จึงจะตายแล้วไปสวรรค์กี่ชนิดๆ ที่มันจะมี ถ้ามันจะมี มันก็ได้แหละ แต่ขอให้ได้สวรรค์ที่นี่กันเดี๋ยวนี้เสียก่อนเถิด

                  แล้วถ้าเป็นนรก ก็คือเมื่อเกลียดตัวเอง เมื่อชั่งน้ำหนักตัวเอง ใครก็ตามแหละทำอะไรชนิดที่มันมองดูแล้วมันเกลียดตัวเอง นับถือตัวเองไม่ได้ เคารพตัวเองไม่ได้นั่นน่ะคือนรก ฉะนั้น นรกคือความรู้สึกเกลียดชังตัวเอง สวรรค์คือความรู้สึกพอใจตัวเอง พอใจจนยกมือไหว้ตัวเองได้ ก็เรียกว่าสวรรค์แท้จริง แท้จริง เมื่อเกลียดน้ำหนักตัวเองคือนรกที่แท้จริง เมืองนรกที่แท้จริง มองดูตัวเองแล้ว ไม่มีทางที่จะนับถือบูชาอย่างไร มีแต่เกลียดมีแต่ชัง มีแต่อิดหนาระอาใจ นั่นนะคือนรกที่แท้จริง ที่นั่นเดี๋ยวนั้น

                  ฉะนั้น เราจงทำให้ทุกอย่างมันถูกต้องๆ ถูกต้องทุกอิริยาบถ ทุกนาที ทุกนาที ทุกเวลา ทุกที่ ทุกหนทุกแห่งแหละ แล้วก็อยู่ด้วยความพอใจชนิดนี้ ยกมือไหว้ตัวเองได้อยู่ในจิตใจ ไม่ต้องทำท่ายกมือไหว้ก็ได้ แต่ในจิตใจน่ะมันยกมือไหว้ตัวเองได้ นี่คือสวรรค์ที่แท้จริง เป็นความสุขแท้จริงตลอดวันตลอดคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของพุทธบริษัทที่มีความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง

                  เดี๋ยวนี้ไม่เป็นพุทธบริษัทกันดอก มันเพียงแต่จดทะเบียน เกิดมาจากพ่อแม่ที่เป็นพุทธบริษัท แล้วก็ไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้พุทธศาสนา ไม่เป็นพุทธบริษัท จำนวนมากมาย ที่ศาสนาอื่นเขาซื้อตัวได้ก็ซื้อไปได้ ก็ซื้อไปได้แต่คนทียังไม่เป็นพุทธบริษัท ถ้าเป็นพุทธบริษัท รู้ความเป็นพุทธบริษัทแล้ว ไม่มีใครมาซื้อตัวไปได้ดอก ฉะนั้นเราไม่กลัว ที่ว่าใครจะมาแย่งพุทธบริษัท มันแย่งไปได้แต่คนที่มิใช่พุทธบริษัท ยังไม่เป็นพุทธบริษัท นั้นน่ะมันแย่งเอาไปได้ ด้วยเงิน ด้วยประโยชน์ ด้วยอะไรต่างๆ

                  นี่เราเป็นพุทธบริษัทแล้ว มีความรู้ถูกต้องในความเป็นพุทธบริษัทแล้ว จะพอใจธรรมะ จะบูชาธรรมะ จะเคารพธรรมะ ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุด ที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็บูชาธรรมะ นี่เราบูชาธรรมะ ก็คือบูชาหน้าที่คือ บูชาการงานที่จะต้องทำ อย่าให้บกพร่องได้ เป็นเด็กยุวชนก็ทำหน้าที่ของยุวชน เป็นคนหนุ่มสาวก็ทำหน้าที่ที่ถูกต้องของคนหนุ่มสาว เป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็ทำหน้าที่ที่ถูกต้องของพ่อบ้านแม่เรือน หน้าที่ของคนเฒ่าคนแก่ก็มีอย่างถูกต้องๆ ไปทั้งนั้นตลอดชีวิต เรียกว่ามีธรรมะกันตลอดชีวิต ก็พอใจที่แท้จริงตลอดชีวิต มีความสุขที่แท้จริง ตลอดชีวิต

                  สรุปความข้อนี้ก็คือว่า ให้ทุกคนรู้ว่า สวรรค์ที่แท้จริงนั้นคืออย่างนี้ นรกที่แท้จริงคืออย่างนี้ ประยุกตฺ์กันอีกคำหนึ่ง อีกความหมายหนึ่ง ก็ว่าถ้าเป็นความสุขที่แท้จริง ไม่ต้องใช้เงินเลย ถ้าเป็นความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลย ถ้าเป็นความสุขที่หลอกลวงละก็จะต้องใช้เงินมาก ยิ่งหลอกลวงมากก็ยิ่งใช้เงินมาก ยิ่งหลอกลวงมากที่สุดก็ยิ่งใช้เงินมากที่สุด จนหมดเนื้อหมดตัว เป็นคนคอร์รัปชั่นคดโกงไปเลย

                  นี่จำกันได้สั้นๆ ง่ายๆ ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน เพราะมันพอใจเป็นสุขเสียแล้วเมื่อทำงาน ทำงานเป็นสุขสนุกเสียแล้วทั้งวันทั้งคืน จะใช้เงินอะไรหาความสุขล่ะ มันอิ่มอยู่ด้วยความสุขแล้วทั้งวันทั้งคืน โดยไม่ต้องใช้เงินเพื่อความสุข ทีนี้ คนโง่มันหัวกระหายอยู่ด้วยกิเลสราคะ โลภะ นี่ ต้องเอาเงินไปซื้อของเล่นของกินกามารมณ์อะไรต่างๆ นั่นมันต้องใช้เงินซื้อ ที่ได้มานั้นไม่ใช่ความสุข เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง

                  นี่เรียกว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินเลย ทำให้เงินเหลือเพราะทำงานสนุก ผลงานก็เกิดมาก แล้วก็เหลือเพราะไม่ต้องใช้ผลงานนั้นไปซื้อหาความสุขที่ไหนอีก มันมีความสุขตลอดเวลาอยู่แล้ว ที่นี้คนโง่มันไม่รู้จักความสุขชนิดนี้ มันกระหายต่อเหยื่อของกิเลสตัณหา เอร็ดอร่อย สนุกสนาน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่เรียกกันว่า เริงรมย์ สถานเริงรมย์น่ะต้องใช้เงิน ใช้เงินเท่าไรมันก็ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ จนเงินเดือนไม่พอใช้ มันก็ต้องโกง ในที่สุดก็ได้รับผลของการโกง นี่เรียกว่าความสุขที่หลอกลวง ใช้เงินมากที่สุดและจนไม่พอใช้ จนต้องกลายเป็นคนคดโกง ข้าราชการที่คอร์รับชั่นที่คดโกงน่ะ คือเข้าใจผิดอย่างนี้ทั้งนั้น ประชาชนก็เหมือนกันแหละ ที่เงินไม่พอใช้ ก็เพราะไปหลงความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไม่เอาความสุขที่แท้จริงที่เกิดขึ้นเมื่อกำลังทำงาน เมื่อกำลังเหงื่อไหล นั่นคืออาบน้ำมนต์ของพระพุทธเจ้า นี่ขอให้เราเข้าใจเป็นคำสรุปสั้นๆ ว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน ความสุขที่หลอกลวงใช้เงินจนเงินไม่พอใช้ ทุกคนแหละ ถ้าอย่างนี้ไปดูเองก็แล้วกัน

                  ยังน่าห่วงอยู่อีกข้อหนึ่งนะ ที่เขานิมนต์พระไปสวดเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้านน่ะ ที่เรียกว่าเจริญพระพุทธมนต์เย็นตามบ้านน่ะ มีอยู่บ่อยๆ ทุกบ้าน พระไปสวดในคำสวดของพระนั้นจะมีอยู่ประโยคหนึ่งนี้ด้วยเสมอว่า ปฏิบัติอย่างนี้ได้รับพระนิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ คือท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า นิพพานน่ะให้เปล่า ถ้านิพพานในพระพุทธศาสนาแล้วก็ให้เปล่า คือไม่ต้องเสียเงินแม้แต่สตางค์เดียว เพื่อได้นิพพาน เพราะมันพอใจอยู่ในการปฏิบัติที่ถูกต้องจนหมดกิเลส ถ้าไปเอากามารมณ์มาเป็นนิพพาน เหมือนพวกอื่นก็มีเหมือนกันแหละ เขาเอากามารมณ์เป็นนิพพานนั้น ก็ใช้เงินไม่พออีกเหมือนกัน ไม่พอใช้อีกเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมะในพระพุทธศาสนาแล้วก็จะได้นิพพาน คือประเสริฐที่สุดในความหมายของความสุขมาบริโภคเปล่าๆ ไม่ต้องใช้เงินซื้อ

                  ทุกคราวที่พระไปเจริญพระพุทธมนต์เย็น ทุกคราวจะบอกประโยคนี้ แค่คนผู้ฟังฟังไม่ถูก ถ้าฟังถูกก็จะเอามาคิดว่า ทำไมจึงว่า นิพพานให้เปล่า? ก็เพราะว่าเป็นความสุขความพอใจ ที่เกิดขึ้นเมื่อทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง เป็นความเย็นใจอาบรดอยู่ในจิตใจ ให้จิตใจมันเย็นเป็นนิพพาน นี้เรียกว่าให้เปล่าไม่ต้องเสียเงินเลย ไม่ต้องลงทุนทำบุญเป็นเงินเป็นทองก็ได้ แต่ถ้าปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ก็จะได้นิพพานมาบริโภคอยู่เปล่าๆ เหมือนกัน เป็นคำพูดที่ควรจะจำกันไว้สั้นๆ ว่าความสุขแท้จริงจะต้องได้เปล่าๆ ความสุขที่หลอกลวงจะต้องเสียเงิน จนเงินไม่พอใช้

                  นี่เรียกว่าผลของการทำงานอย่างถูกต้อง อย่างสนุกสนาน เมื่อเรารู้จัดสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่การงาน หรือธรรมะ แล้วประพฤติปฎิบัติอยู่อย่างถูกต้องสนุกสนาน ก็เกิดผลอย่างนี้ คือได้ความสุขที่แท้จริงมาบริโภคอยู่ โดยไม่ต้องใช้เงินอะไรอีก

                  สรุปความว่า เราต้องรู้ว่า การงานคืออะไร หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตนั้นคืออะไร ธรรมะคืออะไร แล้วความพอใจคืออะไร ความสุขคืออะไร

                  ทบทวนกันอีกทีหนึ่งว่า การงานคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตจะต้องทำนั่นน่ะคือธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่ต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อความรอดอยู่ ได้ทั้งทางกายและทางใจ ครั้งได้ปฏิบัติธรรมะแล้วก็พอใจ เมื่อพอใจจริงก็เป็นสุขจริง เรื่องมีเท่านี้ เป็นคำพูดเพียงไม่กี่คำว่า การงาน แล้วก็ หน้าที่ แล้วก็ ธรรมะ แล้วก็พอใจ แล้วก็สุขที่แท้จริง การงาน หน้าที่ ธรรมะ พอใจ แล้วก็สุขที่แท้จริง ทุกอย่างนี้เป็นความถูกต้องแท้จริง การงานก็แท้จริง หน้าที่ก็แท้จริง ธรรมะก็แท้จริง พอใจก็แท้จริง สุขก็แท้จริง เรื่องมันก็จบแหละ

                  สำหรับคำถามที่ตั้งขึ้นมาว่า การงานคืออะไร จะทำการงานให้สนุกและเป็นสุขในการงานได้อย่างไร ก็คืออย่างที่ว่ามานี้ อย่างที่ว่ามานี้ ขอให้จดจำไปให้ดีว่า การงานคือหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต หน้าที่ของสิ่งมีชีวิต คือสิ่งที่จำเป็นที่สุด ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องทำ พอทำแล้วก็พอใจว่าถูกต้องแล้ว พอใจถูกต้องแล้ว พอใจถูกต้องแล้ว พอใจ ให้เรารู้สึกอย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน ในการเคลื่อนไหวของเราทุกๆ อิริยาบถ ถ้าพอใจแล้วก็มีความสุข เมื่อความพอใจบริสุทธิ์ ความสุขก็บริสุทธิ์ เมื่อความพอใจถูกต้อง ความสุขก็ถูกต้อง เรื่องก็จบ

                  ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคน ที่เป็นผู้ฟังนี้และสนใจในธรรมะนี้ จงรู้จักคำว่า การงานน่ะคือย่างนี้ ทำให้สนุกได้อย่างนี้ แล้วก็มีความสุขที่แท้จริงได้เกิดจากความพอใจนั้นๆ

                  การบรรยายนี้ก็เป็นการสมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายรู้จักสิ่งที่เรียกว่า การงาน หรือหน้าที่ หรือธรรมะ หรือความพอใจ หรือความสุข ยิ่งๆ ขึ้นไปกว่าที่แล้วๆ มารู้มากยิ่งขึ้นกว่าที่แล้วมา แล้วก็ปฏิบัติให้มากให้ยิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้วๆ มาแล้วความสุขแท้จริง อันเป็นจุดหมายปลายทางก็จะไม่ไปไหนเสีย จะต้องเกิดแก่บุคคลผู้ทำหน้าที่การงานอยู่อย่างถูกต้องและพอใจ ดังที่กล่าวแล้ว พอใจนี้เขาเรียกว่าธรรมปีติ ธรรมปีติ ธรรมปีติ แปลว่า ปีติในธรรมะ คือพอใจอิ่มใจเกิดจากธรรมะ เกิดเพราะธรรม จะเป็นผู้มีจิตใจเต็มไปด้วยธรรมปีตินี้ ผาสุก สวัสดี แจ่มใส สดชื่น อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ

                  ขอยุติการบรรยาย

คัดลอกจาก http://www.geocities.com/Tokyo/Ginza/9697/workfun.html