ยาระงับสรรพโรค พุทธทาส

ปาฐกถาธรรมเรื่อง
ยาระงับสรรพโรค

โดย
พุทธทาสภิกขุ


ปาฐกกถาธรรม ประจำวันเสาร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๑
แสดง ณ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี


ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย

            การบรรยายประจำฝันเสาร์ แห่งภาคมาฆบูชาในวันนี้ อาตมาจะบรรยายโดยหัวข้อว่า "ยาระงับสรรพโรค" เป็นอันว่า ในภาคมาฆบูชานี้ จะพูดด้วยเรื่องปกิณกะ แต่ละเรื่อง เป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ต้องติดต่อเป็นชุดเป็นพวกอะไร ก็ได้บรรยายมาเช่นนั้นหลายครั้งแล้ว วันนี้ก็จะได้พูดเรื่อง "ยาระงับสรรพโรค" เพราะว่า ได้แจกฉลากยาไปมากแล้ว นานแล้ว ก็จะติดตามอธิบายให้สำเร็จประโยชน์

โรคมี ๓ อย่าง

            สิ่งแรกก็คือเรื่อง "โรค" เรื่องการเป็นโรค บางคนอาจจะคิดว่า ตัวเองไม่มีโรค ข้าพเจ้าไม่มีโรค ไม่เป็นโรค ไม่มีโรคที่น่ากลัวอะไร ขอให้สังเกตพิจารณาดูกันเสียใหม่ว่า โรคทางจิตนี่แหละสำคัญมาก

            พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โรคมี ๒ ชนิด คือ กายิกโรค โรคที่เกิดเกี่ยวกับทางกาย นี่พวกหนึ่ง แล้ว เจตสิกโรค โรคที่เกิดเกี่ยวกับทางจิต นี่ก็อีกโรคหนึ่ง เป็น ๒ โรค

            แต่อาตมาเคยเอามาแยกเป็น ๓ โรค คือว่า โรคทางจิตนั่นแยกออกเป็น ๒ คือ เป็นโรคทางสติปัญญาอีกโรคหนึ่ง เรียกว่า "โรคทางวิญญาณ"

            โรคทางกาย เจ็บป่วยทางกายก็ไปหาโรงพยาบาลตามธรรมดา โรคทางจิต จิตไม่สมประกอบ บ้าบอ เป็นโรคประสาทรบกวน อะไรเหล่านี้ก็เป็นโรคทางจิต ก็ต้องจัดการไปอีกอย่างหนึ่ง หรือไปหาโรงพยาบาลประสาท โรงพยาบาลโรคจิต

            แต่ถ้าเป็นโรคทางวิญญาณ คือโรคทางสติปัญญาแล้ว ต้องไปหาโรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า คือธรรมะ ที่จะช่วยขจัดโรคทางวิญญาณ เห็นชัดเป็น ๓ อย่าง ๓ ประการด้วยกัน ดังนี้

โรคทางจิตวิญญาณ สำคัญ และเป็นกันมาก

            ต่อไปก็จะได้พูดถึงสิ่งที่จะระงับโรคเหล่านี้ ใช้คำว่า "สรรพโรค" คือ โรคทั้งปวง ก็เป็นโรคทางวิญญาณนั่นแหละ แต่ต้องสังเกตดูให้ดีว่า โรคทางวิญญาณนั้น มันเป็นปัญหามากที่สุด เพราะว่าโรคทางกายนั้นมันไม่มีความหมายอะไรนัก มันไม่ได้ทำอันตรายอะไรนัก มันเป็นแต่ทางกาย แล้วอีกอย่างหนึ่ง โรคทางกายนี่ไม่ค่อยจะเป็นกัน นาน ๆ จะปวดหัวตัวร้อนสักทีหนึ่ง นาน ๆ จะเจ็บด้วยโรคนั้นโรคนี้สักทีหนึ่ง

            แต่ถ้าว่า โรคทางจิต ทางวิญญาณนี่ดูจะเป็นกันตลอดเวลา จนจะเรียกว่าแทบจะทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้ เกิดเร็ว มันดับเร็ว คิดดูให้ดีเถอะ โรคทางจิตน่ะมันเกิดเร็ว ดับเร็ว วันเดียวเป็นสักร้อยโรคก็ได้ แล้วมันก็ไม่แสดงอะไรให้เอะอะตึงตัง ไม่ค่อยแสดงในทางกาย แสดงแต่ในทางจิต คนก็คิดไปเสียอย่างอื่นก็ได้ จึงคล้าย ๆ กับว่าไม่ได้เป็นโรคอะไร ที่จริงจะเป็นอยู่แทบตลอดเวลา

            นั่งอยู่ตรงนี้ ดูให้ดีเถอะ ก็มีโรคทางจิตอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ รบกวนอยู่ ถ้าไม่สังเกตดูให้ดีก็จะไม่เห็น เพราะฉะนั้น เราจะต้องจาระไนแจกแจงในเรื่องโรคทางจิตนี่กัน ให้เห็นได้ว่ามันเป็นอยู่เกือบจะตลอดเวลาเลย วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้ง กี่สิบครั้งหรือร้อยครั้งก็ได้ ถ้ามันเป็น เป็นเก่ง พูดกำปั้นทุบดินก็พูดว่า เกิดกิเลสทีหนึ่งก็เป็นโรคทางจิตทีหนึ่ง เกิดกิเลสวันละกี่ครั้งมันก็เป็นเท่านั้นครั้ง

โรคทางวิญญาณ เป็นต้นเหตุ ให้เกิดโรคทางกาย

            ขอให้ฟังให้ดีว่า โรคทางจิตน่ะมันมีอาการอย่างไร ถ้ารู้จักอาการของมันแล้ว ก็จะเข้าใจได้ มันเป็นอยู่แทบจะทุกลมหายใจเข้าออก เกือบทุกหายใจเข้าออก แล้ว เมื่อเป็นโรคทางจิตแล้ว มันจะพาลเป็นโรคทางกายเอาด้วย เช่น เป็นโรควิตกกังวล นอนไม่หลับ เดี๋ยวมันก็ปวดหัว เป็นโรคทางกาย มีความรบกวนทางจิตมาก มันก็เป็นโรคกระเพาะอาหาร เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคร้าย ๆ ต่าง ๆ สารพัดอย่างขึ้นมา เพราะว่ามันมีโรคทางจิตเป็นต้นเหตุอยู่ภายใน โรคทางจิตเป็นเหตุให้เกิดโรคทางกาย

ตัวอย่างโรคทางจิตวิญญาณ

            จะยกตัวอย่าง โรคทางจิต ให้เป็นเครื่องสังเกตได้ง่าย ๆ ว่า ความรัก เป็นโรคทางจิต ความโกรธ เป็นโรคทางจิต ความเกลียด เป็นโรคทางจิต ความกลัว เป็นโรคทางจิต ความตื่นเต้น เป็นโรคทางจิต ความอิจฉาริษยา เป็นโรคทางจิต ความหวง เป็นโรคทางจิต ความหึง เป็นโรคทางจิต ความยึดมั่นเป็นคู่ ๆ บวกลบ ดีชั่ว บาปบุญ ยึดมั่นเป็นคู่ ๆ แล้วก็ ดีใจเสียใจ นี่เรียกว่าความยึดของเป็นคู่ นี่ก็เรียกว่าเป็นโรคทางจิต ความสงสัยไม่แน่ใจ ไปเสียทุกอย่าง กระทั่งว่า ไม่แน่ใจว่า ได้สิ่งที่ควรจะได้แล้ว

            ทีนี้ก็จะขอถามทุกคนที่นั่งอยู่ตรงที่นี้ว่า ใครไม่มีความสงสัยข้อนี้บ้าง ใครมีความแน่ใจว่า ได้สิ่งที่ควรได้โดยแน่นอนแล้ว หรือใครยังมีปัญหาว่า เรายังไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ ถ้ายังมีความสงสัยอยู่ ลังเลอยู่อย่างนี้ ก็นั่งอยู่ที่นี่ตรงนี้แหละ ฟังบรรยายอยู่นี่แหละเป็นโรคจิต เป็นโรคสงสัยอยู่เสมอว่า มันยังไม่ได้สิ่งที่ควรจะได้ ยังดับทุกข์ไม่ได้ ยังไม่ได้ดับทุกข์ ยังไม่มีพระนิพพานเป็นที่หวังอันแน่นอน มันวิตกกังวลสงสัย อาลัยอาวรณ์ นี่ก็เป็นโรคทางจิตวิญญาณ จึงว่า ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น ไม่ยกเว้น มันเป็นได้ทุกหนทุกแห่ง เมื่อไรก็ได้ เท่าไรก็ได้ อย่างไรก็ได้ ขอให้ลองคิดดู

            โรคทางจิตวิญญาณ จึงเป็นโรคที่มหาศาล น่ากลัวยิ่งกว่าโรคใด ๆ เลยเสียอีก ถ้าเราไม่มีโรคทางจิตแล้ว เราก็ไม่มีความทุกข์ คิดดูให้ดี ๆ ถ้าเราไม่มีโรคทางจิตแล้ว เราก็ไม่มีความทุกข์ แล้วเราก็ไม่ต้องมาศึกษาพุทธศาสนาให้ลำบากหรอก ถ้าเราไม่มีโรคทางวิญญาณ คือโรคที่เป็นไปทางจิตน่ะ เดี๋ยวนี้มีโรคเป็นไปทางจิต มีความทุกข์ จึงต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะศึกษา ที่จะต่อสู้ ที่จะรักษาโรคทางจิต

๑. ความรัก

            ทีนี้ก็จะขอให้ดูให้ดี อย่างที่ว่ามาแล้วคือ ความรัก ถ้ารักเรื่องกามารมณ์ก็เป็นเรื่องเสียดแทงอย่างยิ่ง บ้า ๆ บอ ๆ แม้จะรักอย่าง พ่อรักลูก ลูกรักพ่อ นี่มันเป็นความสุขอยู่เมื่อไหร่ มันเป็นความเป็นปัญหายุ่งยากลำบากใจสักเท่าไหร่ แม้ว่ามันเป็นความรัก และ เมตตากรุณา แม้ว่า รักเพื่อนบ้าน รักผู้อื่น รักที่จะช่วยเขาให้พ้นทุกข์มันก็มีปัญหา มันเนื่องมาจากความรัก แล้วใครบ้างที่มันไม่มีความรัก มันก็มีความรักตามสัญชาตญาณ มีความรักในสันดานของสิ่งที่มีชีวิต

            อย่างแม่ไก่ มันก็รักลูกยิ่งกว่าชีวิตของมันเอง ลูกไก่มันก็รักแม่ไก่เหมือนกัน นี่ก็เป็นปัญหา แม้ว่าความรักที่เรียกว่าด้วยเมตตากรุณาที่ยังต่ำอยู่น่ะ ยังเป็นเมตตากรุณาที่มาจากความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน นี่ฟังดูให้ดี เมตตากรุณานั่นมาจากตัวตนก็มี มาจากอวิชชาน้อย ๆ ก็มี

            เมตตากรุณาที่มาจากปัญญาอันสูงสุดไม่เกี่ยวกับตัวตน เช่น เมตตากรุณาของพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ไม่มีตัวตน ไม่มีอวิชชาอะไร ก็มีเมตตา ก็เรียกว่าเมตตาเหมือนกัน แต่เมตตาอย่านี้ไม่มีปัญหา ไม่รวมอยู่ในข้อนี้ที่ว่า มีความรักแล้วก็จะเป็นทุกข์

            ถ้ามันเป็นเมตตากรุณาที่ยังมีตัวตน มันยังมีอวิชชาที่ทำให้เห็นว่าตัวตน แล้วก็เห็นแก่ตัวตน แล้วก็ รักเพราะเหตุความเห็นแก่ตัวตน อย่างนี้ยังเป็นทุกข์ แม้แต่แม่จะรักลูก ลูกจะรักแม่ รักเพื่อรักอะไรต่าง ๆ ผู้มีพระคุณอะไรก็ตาม มันยังเป็นความรักอย่างมีตัวตน แล้วก็ยังเป็นโรคทางวิญญาณอยู่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วมันสบายกี่มากน้อย เป็นทุกข์กี่มากน้อย ขอให้ลองคิดดู มันเกิดเมื่อไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เท่าไรก็ได้ อย่างไรก็ได้

๒. ความโกรธ

            ทีนี้ในทางตรงกันข้าม พอเกิดโกรธ ขึ้นมาก็เป็นไฟละ แล้วมันไปเก็บ เก็บเอาความโกรธไว้เป็นความอาฆาตพยาบาท แล้วมันก็ยิ่งยืดเยื้อ มันก็เป็นโรคฝ่าย ไฟโทสะ (อ่านรายละเอียดเรื่องนี้เพิ่มเติมใน "เก็บความโกรธใส่ยุ้งฉาง")

๓. ความเกลียด

            ทีนี้ความเกลียด นี่ก็ลำบาก ถ้าไม่ถูกใจมันก็เกลียด บางทีมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา แต่ว่ามันไม่ถูกใจ ไม่ถูกแก่ความรู้สึกก็เกลียด มันอาจจะโง่มาก ไปเกลียดอย่างไม่มีเหตุมีผล มีตัว มีตนอะไร ถ้าไปดูยี่เก ไปดูหนังตะลุงอะไรก็ได้ มันเกิดมีทะเลาะวิวาทกัน ระหว่างพวกมนุษย์กับยักษ์ พอมีการทะเลาะวิวาทระหว่างมนุษย์กับยักษ์ เรามันก็พลอยเกลียดยักษ์ เข้าข้างมนุษย์ นี่ความเกลียดมันเกิดได้ง่าย ๆ อย่างนี้

            หรือแม้ความเกลียดของน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ ของสกปรกเน่าเหม็นซากศพนี่มันก็มีความทุกข์นะ มีความเกลียดที่ไหนมันก็มีความทุกข์เสียดแทงจิตใจที่นั่น ไม่มีความเกลียดอะไรสบายกว่าไม่รู้สีกว่าน่าเกลียด รู้สึกว่ามันเช่นนั้นเอง มันธรรมดาเช่นนั้นเอง ไม่ใช่ซากผี ซากศพเน่าเหม็นอะไร มันก็เช่นนั้นเอง ไม่ต้องไปเกลียดมันให้ลำบาก

            มันก็อดไม่ได้ เห็นเขาทะเลาะกันอย่างนี้ มันก็มักจะเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งแหละ มันก็เกลียดฝ่ายที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ เพียงแต่ไม่ถูกหูถูกตาก็เกลียดเสียแล้ว ไม่อยากจะให้เห็นหน้า แล้วมันก็เกลียดเสียแล้ว มันก็เป็นโรคทางวิญญาณ

๔. ความกลัว

            ทีนี้ ความกลัว มันก็เป็นสัญชาตญาณอันหนึ่งที่กลัวสิ่งที่น่ากลัวติดมาแต่ในท้อง แต่พอเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่แล้ว มันก็ถูกสอนให้กลัวยิ่งขึ้นไปอีก ให้โง่ยิ่งขึ้นไปอีก เพราะมันเป็นอุบายอันหนึ่งที่จะควบคุมเด็ก ก็หลอกเด็กให้กลัวนั่น กลัวนี่ กลัวจิ้งจก กลัวตุ๊กแก กลัวผี กลัวอะไรต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริงทั้งนั้นแหละ มันก็เลยกลัวมากเกินกว่าเหตุ กระทั่งกลัวผี ถ้าพูดถึงเรื่องกลัวผีแล้ว คนก็สู้หมาไม่ได้ เพราะว่าหมามันไม่กลัวผี ไม่มีปัญหาเรื่องกลัวผี แต่ว่าคนเรานี่ มันถูกหลอกให้กลัวผี กลัวอะไรเสียอย่างแน่นแฟ้น หนาแน่น ช่วยไม่ได้ มันก็มีปัญหา

            ถ้าเด็ก ๆ อย่าถูกสอนให้กลัวมากเหมือนที่สอน ๆ กันอยู่ ปัญหาก็จะไม่ค่อยมี เดี๋ยวนี้พอเด็กมันรู้ประสีประสา ผู้ใหญ่ก็ทำท่ากลัวนั่นกลัวนี่ ทำท่าให้ดูกลัวนั่นกลัวนี่ มันก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกันนะ ที่กลัวน่ะ มันจะได้ไม่ไปทำสิ่งที่อันตราย แต่ว่า มันกลัวเกินกว่าเหตุ แล้วมันก็เป็นเรื่องทำลายความสงบสุข

            สู้ความกล้าที่ถูกต้องไม่ได้ ความกลัวนี่มันเป็นความไม่รู้มากกว่า ความกล้านี่บางทีก็บ้าบิ่น กล้าเพราะไม่รู้ก็มีเหมือนกัน แต่ก็ยังดีกว่าความกลัว เป็นโรคทางวิญญาณ เดี๋ยวนี้ก็มีความกลัวกันอยู่ทั่วโลก กลัวระเบิดปรมาณู กลัวโลกจะพินาศ กลัวอะไรหลายอย่าง ที่ว่ากันไปทั้งโลกเลย

๕. ความตื่นเต้น

            ทีนี้ ความตื่นเต้น คืออยู่ปกติไม่ได้ ต้องตื่นเต้น ถ้าเขามาทำตลกให้ดูก็อดหัวเราะไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเขาแกล้งทำตลก คนที่ดูตลก มันก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะมันโง่น่ะ มันมีความตื่นเต้น ๆ ยิ่งสิ่งนั้นมันประหลาดด้วยแล้ว มันก็ยิ่งอดไม่ได้ มันยิ่งต้องตื่นเต้น ไปดูกีฬาที่น่าตื่นเต้น ก็ต้องดูด้วยความโง่ คือ ต้องมีความตื่นเต้นจึงจะสนุก ถ้าไม่ตื่นเต้นมันก็ไม่สนุก

            ไปดูของที่น่าตื่นเต้น เช่นกายกรรมมาจากเมืองจีน เรียกว่ากายกรรมกวางเจา นี่ดูเข้าแล้วมันก็น่าตื่นเต้นจริงเหมือนกัน ใครเคยไปดูแล้วก็รู้เอง ว่ามันน่าตื่นเต้น เพราะมันความโง่ของเราว่า มันเช่นนั้นเอง เมื่อมันฝึกเข้า ๆ มันก็แสดงได้เช่นนั้นเอง ไม่ต้องตื่นเต้น แต่มันก็อดไม่ได้ แล้วไปดูของแปลกที่ทำให้เกิดความตื่นเต้น

            มีคนไปเที่ยวกัน เที่ยวที่นั่น เที่ยวที่นี่ ไปเกาะสมุย ไปเกาะพีพี ไปเกาะอะไรต่าง ๆ และที่นี่ด้วย มาแวะที่นี่ก็ถามไปไหนมา ก็ไปดู ไปดูที่นั่นน่ะ นี้เป็นผลของความโง่ที่มันตื่นเต้น ทำให้ต้องไปดู ไปดูแล้วมันก็ตื่นเต้น ๆ กลับมาก็ได้แต่ความตื่นเต้น ๆ มันจะปกติไม่ได้ มันต้องตื่นเต้น นี่ก็เป็นโรคทางวิญญาณ

            ตื่นเต้นเวลามีเพลงหรือมีจำอวด มียี่เกอะไรมาแสดงที่ตลาด นี่คนก็ไปกันทั้งบ้าน ให้ลูกกุญแจอยู่เฝ้าเรือนแหละ ไปดูเพลงที่ตลาดได้ แต่ถ้าว่าบอกมาฟังเทศน์ที่วัดก็ไม่มีคน อยู่เรือนหมด คนอยู่เรือนหมดเฝ้าบ้าน ถ้าไปดูสิ่งที่น่าตื่นเต้น มีลูกกุญแจอยู่เรือน ไม่มีคนอยู่เรือน คิดดูเถอะ ความตื่นเต้นนี่มันมีอิทธิพล มีอำนาจมากมายเหลือเกินที่จะดึงให้คนไปที่ไหน ๆ ก็ ได้

            ต้องขออวดดีสักหน่อยว่า เดี๋ยวนี้อาตมาไม่สู้จะตื่นเต้นแล้ว ตัวเองน่ะ ก่อนนี้อยากจะไปเมืองนอกเมืองนา ไปดูที่แปลกประหลาด ที่ได้อ่านได้ยินได้ฟัง อยากจะไปดู อยากจะไป พอมาศึกษาธรรมะนาน เข้า ๆ บอก โอ้ ไอ้ความโง่โว้ย มันมีอะไรที่ไหนแปลกประหลาดล่ะ มันไม่มีอะไรแปลกประหลาด มันเป็นอิทัปปัจจยตาทั้งนั้นเลย ไม่ว่าชนิดไหน ต่อให้ไปเมืองเทวดา มันก็ไม่แปลกประหลาด มันก็เป็นอิทัปปัจจยตา มันเลยไม่ตื่นเต้น

            เดี๋ยวนี้ใครจะมาออกเงินให้หมด พาไปเที่ยวเมืองนอก ไปดูของแปลกประหลาด ก็บอกว่าไม่ไปหรอก ขอทีเถอะ อย่าต้องไป ไม่อยากจะที่เรียกว่า ยักกระดูก ไม่อยากจะยักกระดูก ไม่ต้องไป ไม่ต้องไปที่ไหน ขอนอนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องไปหรอก นี่เพราะว่าความตื่นเต้นมันลดลงไป

            ถ้าความตื่นเต้นมันมีมาก ใครพูดอะไรที่ไหนก็ไปแหละ เสียสตางค์เองแหละ ไม่ต้องมีใครมาเสียสตางค์ให้ ให้มันไปดูของแปลก ๆ ไปเมืองนอกเมืองนา เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรหรอก ต่อให้ใครมาชวนไปโลกพระจันทร์ก็ไม่ไป ออกค่ารถ ค่าเรือ ค่าพาหนะให้หมดก็ไม่ไปหรอก มันบ้านี่ มันโง่นี่ มันเป็นโรคตื่นเต้น แล้วก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง

๙. ความหวง

            ความหวง นี่ก็เป็นเรื่องเป็นไปได้ กระทั่งชนิดวิตกกังวล คือ หวงล่วงหน้า ๆ ไม่ทันมีเรื่องมีราวก็หวงไว้ล่วงหน้า ยิ่งกว่ามดแดง มดแดงมันหวงเพราะมีสิ่งที่จะหวง แต่คนนี่ไม่ต้องมีวัตถุข้าวของ มันก็หวงไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ว่ามะม่วงยังไม่ออกลูกก็หวงไว้ล่วงหน้า ว่ามันออกมากูจะไม่ให้ใครหรอก มันก็หวงไว้ล่วงหน้าอย่างนี้ก็ได้ เป็นความหวง หวงแหนก็ได้ เป็นความหวง หวงแหน "มัจฉริยะ" แปลว่า หวงแหน หวงเงินหวงทอง หวงข้าว หวงของ หวงความดี กลัวว่าคนอื่นจะดีเท่าตัวก็ไม่อยากจะให้คนอื่นดีขึ้นมา ก็หวงความดี ก็ปิดความรู้ มีความรู้อะไรก็ไม่อยากจะให้เพื่อนรู้ หวงเสียนี่

๑๐. ความหึง

            ถ้ามันเป็นวงแคบเข้ามา เข้มข้นเข้ามามันก็เป็น ความหึง ความหึงนี่รู้กันแล้วไม่ต้องอธิบายหรอก ความหึงนี่มันกัดหัวใจเท่าไร คนหึงรู้ดี ไม่ต้องพูดก็ได้ กัดหัวใจกี่มากน้อย คนที่หึงเป็น หรือหึงอยู่มันรู้ดี ความหวง ความหึงอันนี้ก็เป็นโรคทางวิญญาณ

๑๒. ความติดยึดของคู่

            ความยึดในของคู่ อันนี้ลึกละเอียด ยึดติดในของเป็นคู่ ๆ ทำให้เกิดความอยากขึ้นมาสองทาง คือทางบวกและทางลบ ทางบวก อยากจะได้ อยากจะเอา อยากจะมี อยากจะเป็น อยากจะยึดครอง ทางลบ ก็ตรงกันข้าม อยากไม่มีไม่เป็น อยากจะฆ่าเสีย อยากจะทำลายเสีย อยากจะไปให้พ้นเสีย คือยินร้าย มีสิ่งที่น่ายินดีก็ยินดีหลงใหล มีสิ่งที่น่ายินร้ายก็ยินร้าย มันปกติอยู่ไม่ได้ อย่างนี้ก็เรียกว่า บวกหรือลบ เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ บวกน่ะคือต้องการ ลบน่ะคือไม่ต้องการ มีบวกมีลบ เมื่อมีสิ่งมากระทบทางตา หู จมูก สิ้น กาย ใจ

            ฟังให้ดี ถ้ามีสิ่งมากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดเวทนาขึ้นมาแล้วจะมีความรู้สึก ไม่เป็นบวก ก็เป็นลบแหละ ถ้าเวทนานั้นถูกใจก็รับเอา ยินดี หวงแหน เป็นบวกน่ะ ถ้าไม่ถูกใจมันก็เป็นลบ เกลียด โกรธ อยากจะฆ่า อยากจะทำลาย นี่เรื่องเป็นบวก เป็นลบ ยินดียินร้าย ฟู ๆ แฟบ ๆ

            นี่เป็นเรื่อง เป็นของคู่ ๆ เป็นธรรมดา กำไรก็ชอบ ขาดทุนก็ไม่ชอบ ได้เปรียบก็ชอบ เสียเปรียบก็ไม่ชอบ ชนะก็ชอบ แพ้ก็ไม่ชอบ มันก็เป็นคู่ ๆ ไม่รู้สักกี่ร้อยคู่ เป็นคนที่ติดอยู่ในความหมายของสิ่งที่เป็นคู่ มีจิตใจไม่ปกติ ไม่เป็นอุเบกขา มันก็เป็นทุกข์แหละ

            มันก็หวังด้วย ความเป็นบวกน่ะก็หวัง หวังยิ่งกว่าหวังสิ่งใดแหละ เหมือนกับคนหวังสวรรค์น่ะ ก็หวังจนหมดหัวใจ หวังจนตายแหละ หรือว่าถ้าเกลียดนรก ก็เอามาเกลียดกลัวจนไม่มีความสุขแหละ ถ้าไม่ต้องเกลียด ไม่ต้องรัก ไม่ต้องหวังอะไร มันก็ไม่ดีกว่าหรือ

            ที่จริงความเป็นคู่นี่เป็นเหตุให้เกิดความเห็นแก่ตัว ที่มันน่ารัก ก็เกิด ตัวกู ที่จะรักขึ้นมาทันที ที่มันน่าโกรธ ไม่น่ารัก ก็เกิด ตัวกู ที่ไม่น่ารักขึ้นมาทันที ตัวกูไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลาหรอก แต่เมื่อมีสิ่งที่มาครอบงำใจรุนแรง เช่นความอร่อย สวยงามอะไรครอบงำใจก็เกิดตัวกูที่รัก ที่จะเอาขึ้นมา ถ้าว่ามันไม่อร่อย ไม่สวยไม่งาม ไม่น่าปรารถนาก็เกิดตัวกูที่เกลียดโกรธขึ้นมา ตัวกูมันเพิ่งเกิดเมื่อมีอารมณ์อย่างนี้เข้ามา ถ้าไม่มีอารมณ์อย่างนี้ จิตมันก็ปกติ มันก็นอนหลับ พอมีอารมณ์แรง ๆ เข้ามาทางบวก ก็เกิดตัวกูฝ่ายบวก อารมณ์แรง ๆ ฝ่ายลบเข้ามา ก็เกิดตัวกูฝ่ายลบ

            นี้ก็เรียกของเป็นคู่ ๆ เป็นดี เป็นชั่วก็ได้ แต่ว่าดีชนิดที่มันบ้าได้ หลงได้ เมาได้ บ้าดี เมาดี หลงดี นี่มันก็คือไฟชนิดหนึ่ง ชั่วก็เหมือนกันละ หลงเข้ามันก็วินาศทั้งนั้น สุขก็เถอะ บ้าสุข เมาสุข หลงสุข ก็ไม่มีความสุขหรอก

            ทีนี้ ความยึดติดนี้มันก็สูงขึ้นมาถึงบุญ ลองบ้าบุญซี บ้าบุญ เมาบุญ หลงบุญจะไม่มีแผ่นดินอยู่ ฉะนั้นอย่าหลงของเป็นคู่ เลย อยู่เป็นปกติตรงกลางดีกว่า พูดแล้วมันจะไม่มีใครชอบหรอก เมื่อไม่เอานรกแล้ว ก็อย่าเอาสวรรค์เลย มันบ้าเท่า ๆ กันแหละ เมื่อไม่อยากได้นรก แล้วก็อย่าอยากได้สวรรค์เลย มัน บ้า ๆ บอ ๆ พอ ๆ กันแหละ ต้องการพระนิพพานเถิด ไม่บวก ไม่ลบ สวรรค์เป็นบวก นรกเป็นลบ พระนิพพานไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ เพราะมันไม่อยู่เป็นคู่ มันอยู่นอกคู่ หรือเหนือคู่ แต่คนเราก็มีจิตใจติดอยู่ในของเป็นคู่ ๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นโรคทางวิญญาณ

            โรคร้ายกาจทางวิญญาณ ทรมานจิตใจที่สุด ที่รักก็ทำให้ลำบากเพราะรัก ที่เกลียด ที่น่าเกลียด ที่น่าชัง ก็ทำให้ลำบากเพราะอยู่ในกองเพลิงแหละ อย่ามีรัก อย่ามีชัง ไม่มีบวก ไม่มีลบ นั่นแหละก็จะสบาย นี่เรียกว่าเป็นโรคหลงในของที่เป็นคู่ ได้หรือเสีย นี่มันก็เป็นคู่หนึ่ง ตรงกันข้ามบ้าได้ หลงได้ กลัวเสีย กลัวอะไรกันอยู่ตลอดเวลา ทรมานจิตใจด้วยเรื่องได้เรื่องเสียอยู่ตลอดเวลา ขยายออกไปเป็นวิตกกังวล วิตกกังวลนอนไม่หลับ วิตกกังวลนาน ๆ เข้าก็เป็นโรคกระเพาะ โรคมีแผลในกระเพาะใหญ่โตไปเลย

            ขอให้เรารู้ว่า เรื่องความรู้สึกที่เป็นบวกเป็นลบนี่ร้ายกาจที่สุดเลย อย่าไปบวกไปลบกับมัน ปกติ ๆ น่ะหมายความว่าไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ ถ้าว่ามันมีความเป็นบวกขึ้นมาแล้ว มันก็หลอกให้รักแหละ ถ้ามีความเป็นลบขึ้นมา มันก็หลอกให้เกลียดให้กลัวแหละ ขอให้เข้าใจไว้อย่างนี้

๑๓. ความสงสัย

            ทีนี้ตัวอย่างข้อสุดท้ายอีกสักข้อหนึ่ง ก็ว่า ความสงสัย คำว่า "สงสัย" นี่ก็คือ ความไม่แน่ใจ หรือความไม่มีศรัทธา ก็ได้ ไม่มีศรัทธามันก็ไม่แน่ใจ มันก็สงสัย ถ้าไม่แน่ใจว่าเราได้ทำถูกต้องแล้ว ครบถ้วนแล้ว ปลอดภัยแล้ว มันก็ต้องเป็นวิตกกังวลอยู่อย่างนั้นแหละ เรื่องละกิเลสเป็นพระนิพพานก็เหมือนกันแหละ มันยังไม่แน่ใจ มันยังสงสัยอยู่ ว่าเรายังทำไว้ไม่พอ ยังจะต้องไปตกนรกเล่นสักพักหนึ่งก่อน ใครบ้างล่ะที่มันแน่ใจได้ ก็มีบุญมากแหละ ใครที่แน่ใจได้ ไม่มีความสงสัยในข้อนี้แล้วก นับว่ามีบุญมาก ถ้ายังสงสัยไม่แน่ใจอยู่ ก็ยังเป็นโรคทางวิญญาณ

เป็นโรคทางวิญญาณ เพราะขาดธรรมะ

            ขอให้จำไว้ดี ๆ เถอะ นี่มันเป็นเรื่องทดสอบ ๆ ว่ามีธรรมะหรือไม่มี มีธรรมะเครื่องดับทุกข์เพียงพอแล้วหรือยัง อาการของโรคทางวิญญาณนั้นมีมากละ ถ้าจะแจกกันแล้วมีมากหลายสิบอย่าง แต่เอาอย่างที่เข้ม ๆ ข้น ๆ เห็นได้ง่ายมาพูดให้ฟังพอเป็นตัวอย่างสำหรับศึกษาต่อไปว่า

            ความรักก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความโกรธก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความเกลียดก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความกลัวก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความตื่นเต้น สงบอารมณ์ไว้ไม่ได้ ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความวิตกกังวลในอนาคต ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความอาลัยอาวรณ์ในอดีตก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความอิจฉาริษยาก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความหวงก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความหึงก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความหลงใหลในของเป็นคู่ ดึงซ้ายดึงขวาอยู่ไม่หยุดหย่อนนี่ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ความสงสัย ไม่มีความแน่ใจว่าปลอดภัยแล้ว แน่ใจว่าหลุดพ้นได้แล้ว ก็เป็นโรคทางวิญญาณ ทรมานใจ

            เห็นได้หรือยังว่า มันเป็นโรคทางวิญญาณน่ะ เป็นได้ติดต่อกันทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้ ส่วนโรคทางกายนั่น บางทีเดือนหนึ่งไม่ได้เป็นอะไรเลยก็มี โรคทางกายน่ะ ตั้งเดือนหนึ่งก็ไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่โรคทางวิญญาณนี้ ในวันหนึ่งเท่านั้นมันจะเป็นเสียตั้งสิบอย่าง ยี่สิบอย่าง ร้อยอย่างก็ได้ถ้ามันเก่ง ความคิดที่มันผิดปกติไป ผิดหลักธรรมะไปเท่านั้นแหละ มันก็เป็นโรคทางวิญญาณ เรามารักษาโรคทางวิญญาณนั่นแหละ มันจึงจะหมดโรคหรือจึงจะปลอดโรค

ยาแก้โรคทางวิญญาณ

            ทีนี้ก็จะพูดกันถึง ยาแก้โรคทางวิญญาณ พิมพ์แจกกันไปหลายพันหลายหมื่นฉบับแล้ว จะได้ผลคุ้มค่าหรือยังก็ไม่ทราบ จะบอกชื่อตัวยา หรือเครื่องยาเสียก่อน

 

ต้น "ไม่รู้-ไม่ชี้" นี่เอาเปลือก

ต้น "ช่างหัวมัน" นั้นเลือก เอาแก่นแข็ง

"อย่างนั้นเอง" เอาแต่รากฤทธิ์มันแรง

ต้น "ไม่มีกู-ของกู" นี้แสวง เอาแต่ใบ

ต้น "ไม่น่าเอา-ไม่น่าเป็น" เฟ้นเอาดอก

"ตายก่อนตาย" เลือกออก ลูกใหญ่ ๆ

หกอย่างนี้ อย่างละชั่ง ตั้งเกณฑ์ไว้

"ดับไม่เหลือ" สิ่งสุดท้าย ใช้เมล็ดมัน

หนักหกชั่ง เท่ากับ ยาทั้งหลาย

เคล้ากันไป เสกคาถา ที่อาถรรพณ์

"สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" อัน

เป็นธรรมชั้น หฤทัย ในพุทธนาม

จัดลงหม้อ ใส่น้ำ พอท่วมยา

เคี่ยวไฟกล้า เหลือได้ หนึ่งในสาม

หนึ่งช้อนชา สามเวลา พยายาม

กินเพื่อความ หมดสรรพโรค เป็นโลกอุดร


            ยานี้ต้องการเครื่องยา ๗ อย่าง คือ เปลือกต้น "ไม่รู้ไม่ชี้" แล้วก็แก่นต้น "ช่างหัวมัน" แล้วก็รากต้น "อย่างนั้นเอง" แล้วก็ไปต้นที่ว่า "ไม่มีตัวกูของกู" แล้วก็ดอกต้น "ไม่น่าเอาไม่น่าเป็น" แล้วก็ลูกของต้น "ตายเสียก่อนตาย" แล้วก็เมล็ดต้น "ดับไม่เหลือ" ๖ อย่างแรก เอาอย่างละ ๑ ชั่ง อย่างสุดท้าย "ดับไม่เหลือ" นี่สำคัญมาก เอา ๖ ชั่ง เท่ากับสิ่งอื่นรวมกัน เรียกว่าเท่ายาทั้งหลาย รวมกันแล้ว ก็เป็น ๑๒ ชั่ง ก็ใส่หม้อ ใส่น้ำต้มให้เหลือ ๑ ใน ๓ กิน ๓ เวลา ครั้งละหนึ่งข้อนชาเรื่อย ๆ ไป ก็จะหมดโรค หมดสรรพโรค เป็น "โลกอุดร" น่ะ อยู่เหนือโลก เหนือโลกซึ่งเป็นโรค

เครื่องยาหาได้ที่ในตัวเอง

            จะต้องรู้จักเครื่องยา มีคนมาถามเหมือนกัน ถามอาตมาว่า เครื่องยานี้จะไปซื้อที่ไหน ไปซื้อที่ร้านไหน อาตมาก็ตอบไม่ถูก งงเหมือนกัน เครื่องยาเหล่านี้มันคงไม่มีที่ร้านไหนขายหรอก แล้วที่ในป่าในทุ่งในนานี่มันก็คงจะไม่มี มันก็ต้องหาในตัวคนน่ะ ในตัวคุณเอง ที่กาย วาจา ใจของคุณ ในชีวิตของคุณน่ะ ก็หาเครื่องยานี้ดูสิ

๑. ไม่รู้ไม่ชี้

            "ไม่รู้ไม่ชี้ ๆ" ก็อย่าไปจู้จี้อะไรให้มันมากนัก อย่าไปจู้จี้อะไรให้มันเกินไป อย่าจู้จี้พิถีพิถันนี่นั่นมากเกินไป ไม่มีเรื่องก็ทำให้มันมีเรื่อง เรื่องมันน้อยไปก็ทำให้เรื่องมันมาก นั่นน่ะเรียกว่ามันรู้มันชี้มากเกินไป มันวิตกกังวลไม่เข้าเรื่อง อาลัยอาวรณ์ไม่เข้าเรื่อง นี่รู้จักไม่รู้ไม่ชี้เสียบ้าง ที่มันควรจะไม่รู้ไม่ชี้ได้ ก็อย่าไปรู้ไปชี้กะมัน คนแก่ ๆ เขาว่าจู้จี้ พิถีพิถันมากจะเป็นโรค นี่ต้องรู้จักไม่รู้ไม่ชี้กันเสียบ้าง บางอย่างแกล้งทำหูหนวกตาบอดเสียดีกว่า นี่ ไม่รู้ไม่ชี้

๒. ช่างหัวมัน

            แล้วก็ "ช่างหัวมัน" ช่างหัวมันคือรู้ว่า ทุกอย่างมันต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา กฎอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท มันมีของมันอย่างนั้นน่ะ เราจะไม่ให้มันเป็นอย่างนั้น ให้มันเป็นไปตามความต้องการของเรานี้น่ะ มันก็ไม่ได้ เมื่อมันต้องเป็นไปตามกรรม หรือต้องเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา ก็ช่างหัวมัน ก็ได้ในที่ ๆ ควรจะช่างหัวมัน

            แต่มีข้อยกเว้นบางเรื่อง ช่างหัวมันไม่ได้ ชีกระจ่างเขาเอาเครื่องชั่งมาวาง แล้วเอาหัวมันมาวางไว้บนเครื่องชั่ง เพื่อจะให้เกิดความหมายว่า "ชั่งหัวมัน" "ชั่งหัวมัน" อย่างนี้คุณเอาไปทำยาไม่ได้หรอก เครื่องชั่ง กับ หัวมันนี่ คุณเอาไปทำยาไม่ได้ เอาไปทำยาไม่ได้ จะต้องรู้จักทำจิตใจ อย่าให้มันเป็นทุกข์ มันรู้มันชี้ มันจู้จี้ มันจริงจัง ไปเสียหมด ช่างหัวมันนี่มีคำกลอนที่เขียนไว้นานแล้วว่า

จงยืนกราน สลัดทั่ว "ช่างหัวมัน"

ถ้าเรื่องนั้น นั้นเป็นเหตุ แห่งทุกข์หนา

อย่าสำออย ตะบอยจัด ไว้อัตรา

ตัวกูกล้า ขึ้นเรื่อยไป อัดใจตาย

เรื่องนั้นนิด เรื่องนี้หน่อย ลอยมาเอง

ไปบวกเบ่ง ให้เห็นว่า จะฉิบหาย

เรื่องเล็กน้อย ตะบอยเห็น เป็นมากมาย

แต่ละราย รีบเขวี้ยงขว้าง ช่างหัวมัน

เมื่อตัวกู ลู่หลุบ ลงเท่าไร

จะเยือกเย็น ลงไป ได้เท่านั้น

รอดตัวได้ เพราะรู้ใช้ "ช่างหัวมัน"

จงพากัน หัดใช้ ไว้ทุกคนฯ

            หัดใช้ความคิดเรื่อง "ช่างหัวมัน" นี้ไว้พอสมควร ให้รู้จักช่างหัวมัน ช่างหัวมันนี่ตัดออกไปเสียได้ตามสมควร ถ้ามันเป็นเรื่องที่ว่า มันเป็นไปตามธรรมดา ตามกฎอิทัปปัจจยตา