การบวชคืออะไร ? (ต่อ)

โดย...พุทธทาสภิกขุ
สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี

โพสท์ในเวบบอร์ด บ้านฅนธรรมดา โดย KiLiN โพสต์เมื่อ: 17 สค. 2002,22:30


สิทธิของผู้บวช

            เมื่อกล่าวถึงสิทธิของผู้บวช พึงเข้าใจว่าเป็นการกล่าวถึงการที่นักบวชมีสิทธิอันชอบธรรม ที่จะบริโภค จตุปัจจัย อันเป็น เทยยธรรมหรือเครื่องบูชาของชาวโลก ตามปรกติก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ผู้บวชไม่มีการประกอบอาชีพ ไม่มีการทำนา ค้าขาย แต่ก็มีการดำรงชีพอยู่ ด้วยการเสียสละของชาวโลก

            ข้อที่ต้องคิดต่อไปมีอยู่ว่า มีสิทธิอันชอบธรรมมาแต่ไหน ในการที่จะบริโภควัตถุเทยยธรรม อันทายกน้อมนำมาถวายด้วยความเคารพเหล่านั้น ?

            สิทธิอันชอบธรรมในที่นี้ ย่อมมีเฉพาะแก่นักบวช ผู้ทำตนให้เป็นนักบวชที่แท้จริง และถูกต้องตามนัยที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อต้น ๆ เท่านั้น สิทธิอันนี้หามีแก่ผู้บวชโดยสักว่าบวชไม่เลย เมื่อไม่มีสิทธิอันชอบธรรมแล้วบริโภคปัจจัยเหล่านั้นเข้า ท่านถือกันว่าย่อมเกิดเป็นหนี้เป็นสินขึ้นแก่นักบวชผู้นั้น อันจักต้องชดใช้ให้แก่ทายกผู้เป็นเจ้าของเทยยธรรม ซึ่งท่านกล่าวไว้ด้วยโวหารอุปมาอย่างขบขันว่า

            “ จะต้องตายไปเกิดเป็นวัว เป็นลา เพื่อรับใช้ทายกทายิกา ผู้เป็นเจ้าของเทยยธรรมนั้นสืบไป “ ในข้อนี้เราต้องพิจารณากันดูอย่างลึกซึ้ง และละเอียดลออ จึงจะเห็นได้ว่า ผู้บวชที่แท้จริงนั้นมีสิทธิอันชอบธรรม ที่จะบริโภควัตถุเทยยธรรมของทายกทายิกาเหล่านั้นจริง ๆ

            การบวชของผู้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง
            ได้รับผลจริง และสั่งสอนผู้อื่นจริง ๆ นั้น
            ย่อมเป็นการสืบอายุพระศาสนาได้จริง

            การสืบอายุพระศาสนาได้จริงนั่นเอง ทำให้เกิดสิทธิอันชอบธรรมแก่ผู้บวชในการที่จะบริโภควัตถุเทยยธรรมดังกล่าวแล้ว การสืบอายุพระศาสนานี้โดยหัวใจแท้จริง ย่อมอยู่ที่การที่มีผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลได้สำเร็จ การที่จะปฏิบัติมรรคผลได้สำเร็จและมีอยู่ในโลกนั้นต้องมาจากการตั้งใจทำจริง ๆ ของผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น จึงจะเป็นผลขึ้นมาได้

            ด้วยเหตุนี้แหละ ผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจึงต้องได้รับโอกาสในการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติโดย ไม่ต้องคำนึงถึงการประกอบอาชีพ เพราะฉะนั้นการตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติของผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้การบรรลุมรรคผลยังคงมีอยู่ในโลกนี้แหละ ได้ทำให้เกิดสิทธิอันชอบธรรมขึ้น ในการที่จะบริโภควัตถุเทยยธรรม โดยไม่ต้องมีการตอบแทนเป็นส่วนตัว

            ด้วยเหตุนี้นักบวชที่แท้จริงมีสิทธิอันชอบธรรมดังกล่าวแล้วในการที่จะบริโภควัตถุปัจจัยเหล่านั้นตลอดถึงมีสิทธิอันชอบธรรมในการที่จะรับการกราบไหว้สักการบูชาของชาวโลกทั่วไป ตลอดถึงมีสิทธิในการที่จะประพฤติพรหมจรรย์ อันเป็นอิสระ เพื่อบรรลุ มรรคผล นิพพาน ตามความปรารถนา นี้เรียกว่า เป็นสิทธิพิเศษของนักบวชโดยเฉพาะเท่านั้น

            ขอให้เราผู้บวชแล้วทั้งหลาย จงรู้สึกในสิทธิอันนี้ เพื่อจะได้พยายามทำตนให้ทรงไว้ซึ่งสิทธิอันนี้ โดยไม่ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่ “ เป็นวัวหรือลา “ ได้โดยเด็ดขาด ทั้งหมดนี้ย่อมสำเร็จได้ด้วยการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง แล้วสอนเขาจริง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ซ้ำ ๆ ซาก ๆ นั่นเอง หากปราศจากสิทธิอันนี้แล้ว ตนจะต้องเกิดวิปปฏิสาร คือความร้อนใจ แม้ไม่ใช่ในวันนี้ ก็ต้องในวันใดวันหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัยเลย

วัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวช คืออะไร ?

            เมื่อกล่าวถึงวัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวช ย่อมหมายความว่า เราจะพิจารณากันให้เห็นชัดว่า การบวชนั้นต้องมีที่ตั้งที่อาศัย จึงจะตั้งอยู่ได้ เหมือนกับแผ่นดินเป็นที่ตั้งอาศัยของต้นไม้ทั้งหลายจึงตั้งอยู่ได้

            ฉันใดก็ฉันนั้นสำหรับที่ตั้งอาศัยของการบวชนั้น ย่อมกล่าวได้โดยง่ายว่า มีพระรัตนตรัย กล่าวคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวัตถุที่ตั้งอาศัย ด้วยเหตุนี้แหละเราจะต้องทำความเข้าใจในพระรัตนตรัย จนเห็นแจ่มแจ้งชัดเจนว่า เป็นวัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวชได้อย่างไร ?

            พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ โดยภายนอกก็ดูเป็นของต่างกัน คือ

            พระพุทธเจ้า เป็นผู้ค้นพบธรรมะอันประเสริฐ สำหรับบำบัดทุกข์ทั้งปวงได้สิ้นเชิง บำบัดทุกข์ได้ด้วยพระองค์เองได้หมดจดแล้ว จึงทรงสอนผู้อื่นให้บำบัดทุกข์ตามไปด้วย

            ส่วนพระธรรม นั้น คือสิ่งซึ่งพระองค์ทรงค้นพบ และทรงใช้เป็นเครื่องบำบัดทุกข์นั่นเอง มีอยู่ในรูปคำสั่งสอนหรือการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งเรียกว่า ปริยัติธรรม บ้าง และอยู่ในรูปของการประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ ซึ่งเรียกว่า ปฏิบัติธรรมบ้างและอยู่ในรูปแห่งผลของการปฏิบัติ คือ มรรค ผล นิพพาน ซึ่งเรียกว่า ปฏิเวธธรรมบ้าง ทั้งปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม และปฏิเวธธรรมนี้แหละ รวมกันแล้ว คือ พระธรรม

            ส่วน พระสงฆ์ นั้น คือ ผู้ที่ได้รับเอาพระธรรมจากพระพุทธเจ้ามาศึกษา และปฏิบัติจนได้รับผลของพระธรรมนั้น กล่าวโดยลักษณะภายนอก พระรัตนตรัยย่อมแตกต่างกันอยู่ดังนี้

            แต่เมื่อกล่าวโดย ความหมายอันลึกซึ้งในภายในแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า เป็นของอย่างเดียวกัน คือ

            พระพุทธเจ้า นั้นมีความหมายอันสำคัญ อยู่ที่คุณธรรมอันประเสริฐ ซึ่งมีอยู่ในภายในพระหฤทัยของพระองค์ ซึ่งทำให้พระองค์ได้นามว่า พระพุทธเจ้า คุณธรรมอัน ข้อนี้ก็คือ ความบริสุทธิ์ สะอาดถึงที่สุด ความสว่างไสวแจ่มแจ้งถึงที่สุดและความสงบเย็นเป็นสันติถึงที่สุด ซึ่งมีอยู่ภายในพระองค์นั่นเอง

            สำหรับ พระธรรม นั้นเล่าก็มีความหมายอันแท้จริงอยู่ที่คุณสมบัติที่กล่าวแล้วอย่างเดียวกันคือ ปริยัติธรรม ก็เป็นการเรียนเรื่องความสะอาด สว่าง สงบ ให้ถึงที่สุด ปฏิบัติธรรม ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อให้ถึงความสะอาด สว่าง สงบ ถึงที่สุดและตัว ปฏิเวธธรรม ก็คือ ตัวความสะอาด สว่าง สงบ ถึงที่สุด ที่ได้รับในฐานะเป็นผลของการปฏิบัตินั่นเอง

            ฉะนั้น พระธรรมทั้ง 3 ประเภท ก็ไปรวมอยู่ที่ ความสะอาดถึงที่สุด ความสว่างถึงที่สุด และความสงบถึงที่สุด ที่มีอยู่ในพระหฤทัยของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน

            ส่วนพระสงฆ์ นั้นเล่าย่อมหมายถึงผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงมีคุณสมบัติคือความสะอาด สว่าง สงบ ถึงที่สุด จึงได้รับเอาพระธรรม ซึ่งมีคุณสมบัติรวมอยู่ที่ ความสะอาด สว่าง สงบ นั้นมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้ตัวท่านเองเกิดมีคุณสมบัติเป็นความสะอาด สว่าง สงบ ขึ้นภายในใจของตน อย่างเดียวกับภายในพระหฤทัยของพระพุทธเจ้า

            เราจึงเห็นได้ว่า ตัวความสะอาด สว่าง สงบ นั่นแหละ คือตัวแท้หรือหัวใจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยไม่เพ่งถึงลักษณะภายนอก

            เมื่อเรารู้จักพระรัตนตรัย ในลักษณะของความสะอาด สว่าง สงบ เป็นอันเดียวกันดังนี้ เราย่อมเห็นเป็นโอกาสที่การบวชของเรา จะได้มีวัตถุที่ตั้งอาศัยลงที่พระรัตนตรัยได้โดยง่าย กล่าวคือ การมองเห็นชัดว่ายังเป็นโอกาส ยังเป็นฐานะ ที่เราจะเข้าถึงองค์พระรัตนตรัยได้จริง ๆโดยการทำให้ความสะอาด สว่าง สงบ นั้นเกิดขึ้นภายในใจของเราเองและเป็นโอกาสที่พระรัตนตรัยนั้น จะเป็นที่พึ่งให้แก่เราได้จริง ๆ

            คือ ความสะอาด สว่าง สงบ ซึ่งเป็นองค์พระรัตนตรัยแท้ อันเราได้ทำให้เกิดขึ้นในหัวใจของเรานั้น ได้เป็นเครื่องดับไฟทุกข์ และดับไฟกิเลสให้แก่เราได้จริง ๆ เพราะฉะนั้นหัวใจของเราผู้บวชแล้ว จึงมีวัตถุที่ตั้ง คือ เข้าถึง พระรัตนตรัยตัวจริงได้ และพระรัตนตรัยนั้น สามารถคุ้มครองปกป้องหัวใจของเราได้ การบวชของเราจึงมีวัตถุที่ตั้ง ที่อาศัยอย่างมั่นคง แล้วเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ที่ได้อาศัยแผ่นดินที่ดี เป็นที่ตั้งแล้วเจริญงอกงามอยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น

            เพราะฉะนั้น ขอให้เราผู้บวชแล้วทุกคน จงได้ปักใจให้ตั้งอาศัยอยู่ที่พระรัตนตรัย ด้วยการเพ่ง ด้วยการมุ่ง ด้วยการพยายามประพฤติปฏิบัติจนสุดกำลังกาย กำลังใจ เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงด้วยการที่ตนมีหัวใจอันประกอบอยู่ด้วยความสะอาด สว่าง สงบ ดังกล่าวมาแล้ว

            เราจะเห็นได้ว่า ถ้าการบวชของเราไม่มีวัตถุที่ตั้งอาศัย ไม่มีจุดที่มุ่งหมายสำหรับเป็นที่กำหนดให้แน่วแน่มั่นคงแล้ว การบวชนั้นก็จะกวัดแกว่ง เหมือนวัตถุที่เบาแล้วถูกลมพัด ไม่สามารถจะมีจุดหมายอันแน่นอนได้ การบวชนั้นก็จักเป็นหมันเปล่า ไม่สมประสงค์ทั้งที่เรามีความตั้งใจจริง เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องเข้าใจในวัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวชอย่างชัดแจ้ง แล้วปักใจทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ลงไปทั้งหมดจริง ๆ ก็จะได้ประสบผลของการบวช ได้ครบถ้วนตามความปรารถนา

ความมุ่งหมายของการบวช

            เมื่อกล่าวถึงความมุ่งหมายของการบวช ชนิดที่เป็นความมุ่งหมายอันแท้จริงแล้ว พึงทราบว่า หาได้อยู่ที่ขนบธรรมเนียมประเพณีหรืออยู่ที่ความต้องการจะได้อานิสงส์ 3 ประการของการบวชดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นไม่ ความมุ่งหมายอันแท้จริงนั้น หวังผลพิเศษยิ่งไปกว่านั้น กล่าวคือ ความมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดความเร็วในการบรรลุมรรค ผล นิพพาน นั่นเอง

            โดยหลักทั่วไป คนเราอาจจะบรรลุมรรคผล นิพพาน ได้ เพราะการประพฤติธรรมวินัยอันถูกต้องก็จริง แต่ถ้าเป็นอยู่ในเพศฆราวาสย่อมเป็นไปอย่างเฉื่อยชาหรือเถลไถลถึงกับล้มเหลวไปก็ได้ แม้ฆราวาสผู้นั้นจะมีความตั้งอกตั้งใจอย่างรุนแรงเพียงไร ก็ไม่วายที่จะประสบอุปสรรคอันเกิดมาจากความเป็นฆราวาส มีการต้องประกอบอาชีพ หรือถูกรบกวนอย่างอื่น อันเป็นเหตุให้เนิ่นช้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อมาเป็นอยู่อย่างนักบวช ย่อมปลอดโปร่งจากอุปสรรคเหล่านั้น สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้ก้าวหน้าไปได้โดยรวดเร็ว ประสบผลทันตาเห็น นี้นับว่าความมุ่งหมายที่แท้จริงของการออกบวช อยู่ที่การเป็นไปได้โดยรวดเร็วในการบรรลุผลของการบวชอย่างจำเป็นแท้จริง

สิ่งที่เราจะต้องระมัดระวังต่อไปในเรื่องนี้ก็คือว่า

            เมื่อละจากเรือนบวชสู่ความเป็นผู้ไม่มีเรือนแล้ว จำเป็นที่จะต้องมีจิตใจอย่างผู้ไม่มีเรือนจริง ๆ จะต้องละกิริยาอาการตลอดถึงความรู้สึกนึกคิด และการประกอบการงานอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง ความหนักอกหนักใจอย่างใด ที่เกิดขึ้นเป็นประจำแก่พวกฆราวาสนั้น ไม่ควรจะมีแก่เราผู้บวชแล้ว ความนึกคิดรู้สึกซึ่งเป็นไปในทางสวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อย หรือกามารมณ์ ไม่ควรจะมีอยู่ในใจของผู้บวชแล้ว การประกอบการงานซึ่งมีบริกรรมมาก มีความรับผิดชอบผูกพันมาก อันเป็นทางมาแห่งความฟุ้งซ่าน ไม่สงบเป็นต้นเหล่านี้ ก็ไม่ควรจะมีแก่บุคคลผู้บวชแล้ว ถ้าสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ ยังมีอยู่ในใจ หรือในการเป็นอยู่ของบุคคลผู้บวชแล้ว ก็หาชื่อว่าเป็นการบวชไม่ แม้จะห่มจีวร ฉันบิณฑบาตอยู่ที่วัด ก็หาเกิดความเร็วในการที่จะบรรลุมรรคผล นิพพานไม่ แม้ที่สุดแต่จะเป็นการสืบอายุพระศาสนาก็หาเป็นไปได้อย่างน่าปลื้มใจไม่

            ขอให้เราผู้บวชแล้วทุกคน ที่หวังจะให้การบวชของตนเป็นไปอย่างถูกต้อง ตามความมุ่งหมายอันแท้จริงนั้น จงได้ระมัดระวัง อย่าให้เกิดมีความเป็นฆราวาสแฝงอยู่อย่างเร้นลับ ในการบวชของตนเลย ให้มีความไม่ประมาทในการที่จะชำระสะสางสิ่งกีดขวางต่าง ๆ อันจะทำให้เกิดความเนิ่นช้าแก่การก้าวหน้าไปตามทางของพรหมจรรย์โดยสิ้นเชิง

            การที่ไม่ถือว่าอานิสงส์อย่างอื่น ๆ เป็นความมุ่งหมายแท้จริงของการบวช แต่ถือว่า ความเร็วหรือโอกาสที่จะให้เกิดความเร็ว ในการบรรลุผลของการบวช เป็นความมุ่งหมายโดยตรงที่ถือได้ว่า เป็นดวงวิญญาณของการบวชนั้น มันอยู่ที่ความต้องการจะไปให้ได้โดยเร็วนี้จริง ๆ

            ถ้าหากจะกล่าวต่อลงไปอีกในอันดับหนึ่ง ซึ่งเป็นความมุ่งหมายที่มีความสำคัญรองลงไปจากความเร็วนี้แล้วก็ยังอยากจะกล่าวถึงผลอันอื่นนอกไปจากอานิสงส์ 3 ประการดังกล่าวแล้วข้างต้นอยู่อีกนั่นเองความมุ่งหมายของการบวชอันดับที่รองลงไปจากความเร็ว ในการบรรลุมรรคผลนั้น คือความมุ่งหมายที่จะทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้ได้กว้างขวางไพศาลสูงสุดอย่างยิ่งนั้นมากกว่า

            การทำประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นให้ได้ไพศาลกว้างขวางนั้น ไม่อาจจะทำได้ในความเป็นฆราวาส เพราะความเป็นฆราวาสย่อมอยู่ใต้อำนาจของกิเลสมากจนถึงกับทำให้เห็นแก่ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยของตน หรือของครอบครัวของตนเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมีความเสียสละและตั้งใจมากเพียงใด ก็ยังไม่พ้นจากการถูกรัดรึงโดยประการต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง

            ส่วนผู้ที่บวชแล้วย่อมเป็นอิสระจากอุปสรรคเหล่านี้ สามารถอุทิศเวลาทั้งหมด และกำลังกาย กำลังใจทั้งสิ้นเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นได้เต็มเปี่ยมจริง ๆ ทั้งมีโอกาสที่จะบำเพ็ญประโยชน์ชนิดที่สูงกว่าระดับธรรมดาอีกมากมายนัก

            ฉะนั้น ถ้ากุลบุตรใจสิงห์ผู้ใด มีความแน่ใจว่า ตนไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของสัญชาตญาณ ที่เป็นไปในการลุ่มหลงต่อกามารมณ์ หวังที่จะใช้ชีวิตของตนให้มีคุณค่าที่สุด ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ที่สูงไปกว่าระดับของสัญชาตญาณแล้ว จงได้มองเห็นโอกาสอันโล่งโถง ในการที่บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ในระดับอันสูงของผู้ละจากเรือน บวชสู่ความเป็นผู้ไม่มีเรือน ตามตัวอย่างที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน ได้ทำไว้ให้เป็นตัวอย่างเถิด

            กุลบุตรผู้รบชนะความรู้สึกอย่างต่ำ คือความรู้สึกที่ดึงไปสู่กามคุณโดยอำนาจแห่งสัญชาตญาณแล้ว ย่อมรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า ไม่มีสิ่งใดที่น่าทำยิ่งไปกว่า การบำเพ็ญประโยชน์ตนหรือประโยชน์ท่าน ในระดับที่สูงไปกว่าการทำเพียงให้ได้รับความสุขทางวัตถุหรือทางเนื้อหนัง จึงได้มีความกล้าหาญและร่าเริงในการที่จะฉวยเอาโอกาสอันมีอยู่ในการบวชเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ในระดับสูงอย่างกว้างขวางไพศาลหาขอบเขตมิได้ จนกระทั่งถึงการบรรลุนิพพาน ดับทุกข์ทั้งหลายได้หมดจดสิ้นเชิง

            สรุปความอย่างสั้น ๆ ในความมุ่งหมายของการบวชข้อนี้ที่รองลงมาจากความเร็วในการบรรลุมรรคผลก็คือ ความมุ่งหมายเพื่อให้เกิดขอบเขตอันไพศาลแห่งการบำเพ็ญประโยชน์นั่นเอง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือนเป็นพระดำรัสสุดท้ายซึ่งอาจเรียกกันได้ง่าย ๆ ว่า “ พินัยกรรมของผู้ตาย “ ฝากไว้แก่พวกเราทั้งหลายว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมในการบำเพ็ญประโยชน์ “ ดังนี้

            ข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า การบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านเป็นความประสงค์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเราเป็นผู้ไม่ประมาทจริงตามคำของพระองค์แล้วก็จะต้องขวนขวายหาโอกาสในการบำเพ็ญประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน ด้วยความพากเพียร หรือด้วยความไม่ประมาทจริง ๆ ในที่สุดก็จะเห็นได้ว่าโอกาสนั้นมีอยู่แล้ว ในความมุ่งหมายของการบวช และความไม่ประมาทนั้นก็สมบูรณ์อยู่แล้ว ในการที่ถือเอาโอกาสแห่งการบวช เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นอย่างกว้างขวางนั่นเอง

            ข้อนี้ แม้จะไม่เป็นไปในทางรวดเร็ว แต่ก็ได้ผลไปในทางที่แผ่ไปอย่างกว้างขวาง อย่างไม่มีขอบเขต เพราะเป็นชีวิตที่เป็นอิสระเหนือกิเลส บากบั่นไปสู่คุณธรรมเบื้องสูงได้เช่นเดียวกัน ผู้ที่ชนะตนเองในทางความรู้สึกฝ่ายต่ำของสัญชาตญาณ ควรจะพินิจพิจารณาโดยแยบคาย ฉวยเอาโอกาสอันนี้ ซึ่งเป็นความมุ่งหมายอันดับที่สองของการบวชไว้ให้ได้ ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสทำสิ่งที่สูงไปกว่า การกิน การนอน การรู้สึกกลัวแล้วหนีภัย และการเสพย์เมถุนธรรม ซึ่งทั้ง 4 อย่างนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น

            รวมความว่า ความมุ่งหมายอันแท้จริง หรือดวงวิญญาณแห่งการบวชนั้น อยู่ที่ความเร็วและความกว้างขวางไพศาลหาขอบเขตมิได้ ของการบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ของบุคคลผู้มีจิตใจสูงกว่าระดับธรรมดา ถึงกับสามารถละชีวิตแห่งการครองเรือนมาสู่ชีวิตแห่งความเป็นผู้ไม่มีเรือนดังกล่าวแล้ว

            ขอให้พวกเราผู้บวชแล้วทุกคน จงได้สนใจและพยายามทำความเข้าใจในความมุ่งหมายอันแท้จริง ซึ่งเป็นดวงวิญญาณแห่งการบวชนี้เถิด จักเป็นกุศลอันใหญ่หลวง คือทำให้ตนกล้าเสียสละผลอย่างโลก ๆ เพื่อผลอันสูงสุด แล้วทำตนให้ก้าวหน้าไปได้ในทางสูง อย่างเป็นที่น่าบูชาทั้งของเทวดาและมนุษย์ได้จริง

ข้อพึงระลึกเกี่ยวกับการบวช

            เมื่อพูดถึงการบวช ข้อแรกที่สุดที่อยากจะเตือน ก็คือ ข้อที่ว่า การบวชนี้ บวชกันด้วยความสมัครใจ

            นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ เราบวชโดยไม่มีใครบังคับและไม่มีความจำเป็นอย่างใดบังคับ จึงจะนับว่าเป็นการบวชที่บริสุทธิ์และถูกต้อง

            เราควรจะสำนึกถึงข้อที่สมัครใจบวชเอง กล่าวคำขอบรรพชา และขออุปสมบทด้วยความรับผิดชอบของตนเอง จึงจำเป็นที่จะต้องรักษาเกียรติยศของตนเอง ในการที่จะประพฤติและกระทำให้สมกับคำที่ว่า การบรรพชาและอุปสมบทนี้เราขอรับไปถือปฏิบัติด้วยความสมัครใจของตนเอง ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ก็จะเป็นการเสียวาจาและเป็นการเสียเกียรติยศของบุคคลที่มาขอยืนยันรับเอาไปเอง แล้วไปประพฤติปฏิบัติให้สมกับที่ขอเข้ามาเอง

            ข้อต่อไป ซึ่งจะต้องสำเหนียกไว้ ก็คือ ข้อที่ว่า การขอบรรพชาอุปสมบทนั้นเป็นพิธีที่ทำกันในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ คือ โรงอุโบสถ และในท่ามกลางสงฆ์และต่อหน้าพระพุทธปฏิมา ซึ่งเป็นประมุขแทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในโรงอุโบสถนั้นๆ เพราะฉะนั้นควรจะถือว่าเป็นการกระทำที่จริงจังที่สุดไม่ใช่ทำกันเล่นๆ เพราะทำในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ในนามของพระรัตนตรัยอันศักดิ์สิทธิ์ และด้วยความหวังของทุกคนที่มาประชุมกันอยู่ในที่นั้นอย่างสุดจิตสุดใจว่า การกระทำอันนี้จะเป็นความดีความงามอย่างสูงสุดเพราะเหตุฉะนี้แหละผู้บวชแล้วจักต้องสำเหนียกในข้อที่ตนจะต้องประพฤติตนให้สมกับที่ตนได้ลั่นวาจาขอบรรพชาอุปสมบท และปฏิญาณตนว่า จะประพฤติตามธรรมวินัยของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ก็จักกลายเป็นการหลอกลวงในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และต่อหน้าบุคคล ซึ่งประชุมกันในนามของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นับว่าเป็นการเสียหายอย่างใหญ่หลวง

            อีกประการหนึ่ง สิ่งซึ่งจะลืมไม่ได้ ก็คือข้อที่ว่า พวกเราทุกคนบวชนี้ เพราะเห็นแก่ความประสงค์ของมารดาบิดาผู้เป็นบุพการี มีอุปการคุณเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าจะทำให้เป็นจริงเป็นจัง และสมจริงตามความหวังอันนี้แล้ว จักต้องปฏิบัติธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้สุดกำลังกายกำลังใจ จึงจะไม่เป็นการขบถ หรือย่ำยีความหวังและความไว้วางใจของผู้มีบุญคุณเหล่านั้น

รวมความว่า ผู้บวชแล้วจะต้องระลึกนึกถึงข้อที่ตนขอบรรพชาอุปสมบทเอง

            ข้อที่ทำพิธีในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ และข้อที่ทำเพื่อหวังจะตอบสนองความมุ่งหวังของมารดาบิดา เป็นเบื้องต้นก่อนสิ่งอื่น

            ถ้าผู้ใดยังคงระลึกอยู่ได้ดังกล่าวตลอดเวลาเพียงใด ความระลึกอันนี้ย่อมเป็นอำนาจ และกำลังบังคับ ให้ผู้นั้นมีความอดกลั้นอดทน ปฏิบัติธรรมวินัยเต็มตามกำลังกาย กำลังใจ และกำลังสติปัญญาของตน อยู่เพียงนั้น

            นี่เป็นข้อแรก ที่ขอเตือนให้ระลึกอยู่เสมอเกี่ยวกับการบวช

สรุปความ

            ผู้ที่บวชที่ประสงค์จะได้รับผลแห่งการบวช จักต้องระลึกหรือสำนึกถึงความที่ตนจะต้องรับผิดชอบในความล้มเหลว หรือ ความประสบผลสำเร็จในการบวชของตนด้วยตนเอง เพราะตนขอบวชด้วยความสมัครใจของตนเอง

            เพื่อเป็นเครื่องเตือนตนไม่ให้เป็นผู้เสียหายในการปฏิญาณตน จักต้องระลึกถึงข้อที่ได้ทำพิธีขอบวชของตนในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ ในท่ามกลางหมู่คณะที่ประชุมกันในนามของพระรัตนตรัย

            ตนจะต้องมีหิริและโอตตัปปะ ในการที่จะรักษาเกียรติยศของตนตามที่ได้ปฏิญาณในการบวชของตนไว้อย่างไร เป็นผู้สำนึกในลักษณะของการบวชอันแท้จริง กล่าวคือ การไปหมดจากเรือน จากการกินอยู่นุ่งห่ม การใช้สอย การทำ การพูด และความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง และเป็นผู้เว้นหมดจากสิ่งที่ควรเว้นควรละ ตามธรรมตามวินัยในพระศาสนานี้

            ทำการบวชของตน ให้เป็นการบวชที่บริสุทธิ์และถูกต้อง ไม่นำมาซึ่งอันตรายแก่ตน เพราะการบวชของตน มีพระรัตนตรัย ซึ่งมีใจความสำคัญรวมอยู่ที่ความสะอาด สว่าง สงบ เป็นวัตถุที่ตั้งอาศัย เป็นการบวชที่นำมาซึ่งผลอันจะพึงได้แก่ตน แก่ผู้มีบุญคุณของตน ตลอดถึงผลที่จะพึงได้แก่พระศาสนา

            ความเป็นอย่างนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์ได้ถึงที่สุด เพราะตนมีอาวุธอันประเสริฐของบุคคลผู้บวชแล้ว กล่าวคือ กัมมัฏฐาน อันเป็นประธาน มีอสุภกัมมัฏฐานเป็นต้น และประกอบด้วยกัมมัฏฐานอันเป็นบริวาร มีการพิจารณา พิจารณาจตุปัจจัยเครื่องอาศัยทั้ง 4 อย่างของบรรพชิต แล้วบริโภค สำเร็จประโยชน์ได้อย่างบริสุทธิ์ นับว่าเป็นอาวุธและเป็นทั้งเครื่องป้องกัน ในการบำบัดอันตราย อันจะพึงเกิดขึ้นแก่บรรพชาของตน จนกระทำให้ตนมีสิทธิอันชอบธรรม ที่จะรับทักษิณาทานและการกราบไหว้บูชา ทั้งของเทวดาและมนุษย์

            รู้จักถือเอาประโยชน์อันสูงสุด ซึ่งเป็นความมุ่งหมายอันแท้จริงแห่งการบวช กล่าวคือความเร็วไวในการบรรลุมรรคผลและโอกาสที่ตนสามารถบำเพ็ญประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นได้กว้างขวางไพศาลสูงสุด อย่างไม่มีขอบเขต

            สมกับพระบาลีที่ว่า “ อปิ รชฺเชน ตํ วรํ “ ซึ่งมีใจความว่า “ บรรพชานั้นเป็นสิ่งประเสริฐกว่าการเป็นจักรพรรดิ์ “ ดังนี้โดยไม่ต้องสงสัยเลย

            ขอให้เราทั้งหลาย ผู้บวชเป็นสมณะศากยบุตร ในพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงได้รักษาเกียรติแห่งความเป็นสมณะศากยปุตติยะไว้ให้ได้ โดยการทำตนให้ประสบผลแห่งการบวช โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาแล้วนั้น ทุกประการ

"ย้อนกลับไปอ่านตอนที่ ๑"