#echo banner=" นิทานเซ็น เรื่องที่ 08 ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว/

คลิกเมาส์ที่ใดก็ได้ในเฟรมนี้เพื่อเรียกเมนูด่วน

นิทานเซน : ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว

โดย พุทธทาสภิกขุ

คัดลอกจาก http://www.buddhadasa.com/

เรื่องที่ ๘ ชื่อเรื่อง "ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว" นี้ลองฟังให้ดี จะได้รู้ว่า เราใกล้ พระพุทธเจ้า เข้าไปแล้ว  หรือไม่ "

นักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมธยานาจารย์คือ อาจารย์แห่งนิกายเซ็น แห่งหนึ่ง ชื่อว่า กาซาน เพราะนิสิตคนนั้นเขาแตกฉานในการศึกษา เขาจึงถามอาจารย์กาซานว่า เคยอ่าน คริสเตียน ไบเบิล ไหม ท่านอาจารย์กาซาน ซึ่งเป็นพระเถื่อนอย่างพระสมถะนี้จะเคยอ่านไบเบิลได้อย่างไร จึงตอบว่า เปล่า ช่วยอ่านให้ฉันฟังที

นิสิตคนนั้น ก็อ่านคัมภีร์ไบเบิล ตอน Saint Mathew ไปตามลำดับ จนถึงประโยคที่ว่า ไม่ต้องห่วงอนาคต คือไม่ต้องห่วงวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ มันจะเลี้ยงตัวมันเองได้ แม้แต่ นกกระจอก ก็ไม่อดตาย ทำนองนี้

ท่านอาจารย์ กาซาน ก็บอกว่า ใครที่พูดประโยคนี้ได้ ฉันคิดว่า เป็นผู้รู้แจ้งคนหนึ่งทีเดียว คือเป็น An enlighten one คนหนึ่งทีเดียว แต่นิสิตคนนั้น ก็ยังไม่หยุดอ่าน คงอ่านต่อไป มีความว่า

"ขอเถิด แล้วจะได้ จงแสวงหาเถิด แล้วจะพบ จงเคาะเข้าเถิด แล้วมันจะเปิดออกมา เพราะว่า ใครก็ตามที่ขอแล้ว จะต้องได้รับ ใครก็ตาม ที่แสวงหา แล้วย่อมได้พบ และใครก็ตาม ที่เคาะเข้าแล้ว ประตูก็จะเปิดออกมา"

พอถึงตอนนี้ อาจารย์ กาซาน ก็ว่า “แหม วิเศษที่สุด ใครก็กล่าวอย่างนี้ ก็ใกล้พระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว”

นิทานของเขาก็จบ

นิทานเรื่องนี้จะสอนว่าอย่างไร? หมายความว่า ถ้ารู้ธรรมะจริง จะไม่เห็นว่ามีลัทธิคริสเตียน หรือ พุทธ หรือ อะไรอื่น ในจิตใจของผู้รู้ธรรมะจริง จะไม่รู้สึกว่า มีคริสต์ มีพุทธ มีอิสลาม มีฮินดู มีอะไร เพราะไม่ได้ฟังชื่อเสียงเหล่านั้น ไม่ต้องเป็นนิกายอะไร ครูบาอาจารย์สำนักไหน คัมภีร์อะไร อ้างหลักฐานชนิดไหน ไม่มีจิตใจ หรือ ความรู้สึก ที่ค้านหรือ รับฟังถ้อยคำเหล่านั้น จะฟังแต่เนื้อหาของธรรมะนั้น และก็เนื้อหาของธรรมะสูง ก็รู้ได้ว่า มันเป็นอย่างไร สูง ต่ำ ก็รู้ว่า สูงต่ำ อย่างที่ว่า เคาะเข้าเถิด จะเปิดออกมานี้ มันก็เหมือนอย่างที่เราพูดว่า ถ้าปฏิบัติให้ถูก มันก็จะง่าย ง่ายที่สุด ในการที่จะบรรลุนิพพาน

เดี๋ยวนี้ ไปนอนหลับสบายกันเสียหมด ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ก็ได้ ไม่มีใครเคาะ ไม่มีใครแสวงหา หรือ ไม่มีใครขวนขวาย นั่นเอง ถ้าฟังกันแต่ เนื้อหาธรรมะแล้ว มันไม่มีพุทธ ไม่มีคริสเตียน หรือ ไม่มีเซ็น ไม่มีเถรวาท ไม่มีมหายาน อย่างนี้ ไม่มีอาการที่จะเป็นเขา เป็นเราเลย จิตมันว่างเสียเรื่อย มันจึงมีเขาฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ มีเราอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้

ฉะนั้น ความกระทบกันระหว่างเขากับเราไม่อาจจะเกิด ไม่มีทางจะเกิด ไม่มีพื้นฐานจะเกิด เห็นธรรมะเป็นพระเป็นเจ้า เห็นพระเป็นเจ้าเป็นธรรมะไปเสียเลย เหมือนอย่างว่า พระเป็นเจ้าของฝ่ายที่ถือศาสนาพระเป็นเจ้านั้น มีการสร้าง มีการทำลาย มีการให้รางวัล มีการทำอะไร ทุกอย่างตามหน้าที่ของพระผู้เป็นเจ้า เราก็มีสิ่งที่ทำหน้าที่อย่างนั้น ครบทุกอย่างเหมือนกัน แต่เราไปเรียกว่าธรรม เหมือนกับความหมายของคำว่า ธรรมะ ที่อธิบายแล้วในการบรรยายครั้งที่ ๑ นั้น ไม่มีอะไรนอกจาก ธรรมะ แล้วความโง่ ความหลง คือ อวิชชา ต่างหาก ที่ไปสมมติให้ว่า เป็นชื่อนั้น ชื่อนี้ อย่างนั้น อย่างนี้ พวกนั้น พวกนี้ จนมีเรา มีเขา จริยธรรมทั้งหมดของธรรมชาติทั้งหมดนั้นมีเรื่องเดียว แนวเดียว สายเดียว

ขอให้สนใจ ในความจริงข้อนี้เถอะว่า จริยธรรมทั้งหมดของโลกนี้หรือของโลกอื่นด้วยก็ได้ ย่อมมีแนวเดียว และสายเดียว และตรงเป็นอันเดียวกัน ไม่ต้องพูดกันว่าของประเทศนั้น ประเทศนี้ ศาสนานั้น ศาสนานี้ ในโลกเดียวกันนี้ ถึงแม้ว่า สิ่งที่เป็นจริยธรรมจะมีหลายรูปหรือหลายเหลี่ยม ดังที่กล่าวมาแล้ว แต่วันแรกนั้น ก็ยังเป็นอันเดียว แนวเดียว สายเดียวกัน อยู่นั่นเอง มีแต่ว่า ระบบไหน ใกล้จุดปลายทาง หรือยังเท่านั้น แต่เรื่องต้องเป็นเรื่องเดียวกันหมด ขึ้นชื่อว่า ธรรมะแล้ว ต้องเป็นเรื่องเดียวกันหมด แต่ว่าอันไหน หรือ ที่ใครกล่าวนั้นมันใกล้จุดปลายทางเข้าไปหรือยัง ฉะนั้น เราอย่าได้รังเกียจ อย่าได้ชิงชังว่า คนนั้น คนนี้ เป็นคริสเตียน แล้วก็จะต้องเป็นศัตรู เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาทีเดียว ถ้าถืออย่างนี้ก็แปลว่า ไม่รู้ธรรมะ ยิ่งเป็น ครูบาอาจารย์ ด้วยแล้ว ไม่ควรจะไปรู้สึกทำนองนั้นเป็นอันขาด