๒๙. ประวัติ พระอุปวาณเถระ
นำเสนอโดย...พระมหาบุญโฮม ปริปุณฺณสีโล (ไชยฤทธิ์) วัดท่าไทร อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี

O ชาติภูมิ

             พระอุปวาณะนั้น มีชาติภูมิเป็นมาอย่างไร เป็นบุตรใคร เกิดในตระกูลไหน เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาได้อย่างไร อยู่ในสำนักของใคร ที่ไหน ยังไม่มีหลักฐานที่แน่นอน

O เหตุการณ์ก่อนบวชในพระพุทธศาสนา

             เรื่องราวของท่านพระอุปวาณะที่ปรากฏในปกรณ์ต่างๆ ก็กล่าวถึงแต่เพียงเรื่องที่ท่านได้อุปสมบทแล้วเท่านั้น เช่นเรืองที่ปรากฏอยู่ในสังยุตตนิกาย มหาวรรค หน้า ๙๕ มีข้อความว่า ท่านพระอุปวาณะได้นั่งสนทนาอยู่กับท่านพระสารีบุตร กล่าวถึง โพชฌงค์ ๗ ประการเนื้อความในเรื่องนั้นมีอยู่ว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระอุปวาณะและพระสารีบุตร พำนักอยู่ที่โฆสิตาราม ในพระนครโกสัมพี ขณะนั้นเป็นเวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรเที่ยวเดินอยู่ในโฆสิตารามตามอัธยาศัย แล้วได้เข้าไปหาพระอุปวาณะ นั่งสนทนาธรรมพอเป็นเครื่องร่าเริงใจแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวถามพระอุปวาณะว่า ดูกรท่านอุปวาณะ ท่านรู้ไหมว่าโพชฌงค์ ๗ ประการ ที่บุคคลตั้งใจอบรมไว้ดีแล้ว ย่อมอำนวยผลให้อยู่เป็นสุข ท่านพระอุปวาณะตอบว่า กระผมรู้ ท่านพระสารีบุตรจึงกล่าวต่อไปอีกว่า ดูกรท่านอุปวาณะ เมื่อบุคคลมาปรารภโพชฌงค์ ๗ ประการ มีสติสัมโพชฌงค์เป็นต้น แต่ละอย่างๆย่อมรู้ว่าจิตเราพ้นดีแล้ว เราถอนถีนมิทธะได้เด็ดขาดแล้ว เราจะระงับอุทธัจจกุกกุจจะได้ดีด้วย เราตั้งใจ ทำความเพียร ทำใจไม่ให้หดหู่ได้แล้ว อย่างนี้จึงชื่อว่า อำนวยผลให้อยู่เป็นสุข

             หลังจากนั้นไม่นานท่านพระอุปวาณะก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ และท่านพระอุปวาณะนี้ได้เคยเป็นพุทธอุปัฏฐากของพระบรมศาสดา ซึ่งมีปรากฏในตอนใกล้เวลาพระบรมศาสดาจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน คือในขณะนั้น ท่านพระอุปวาณะยืนถวายงานพัดอยู่ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์พระบรมศาสดา ถูกพระองค์รุกรานให้ถอยไปด้วยพระดำรัสว่า "อเปหิ ภิกขุ ดูกรภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนอยู่ข้างหน้าเรา" ท่านพระอานนท์ได้เห็นแล้วจึงดำริว่าท่านพระอุปวาณะองค์นี้เป็นผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดพระองค์มานานแล้ว เพราะเหตุไรหนอ พระองค์จึงทรงรุกรานให้หลีกออกไปเสีย เมื่อได้โอกาสแล้วจึงเข้าไปกราบทูลถาม จึงได้ทราบเนื้อความนั้นว่า เพราะเทพยดาทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุมาเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา แต่ท่านพระอุปวาณะยืนบังเสีย พวกเทพยดาจึงพากันติเตียน พระองค์จึงให้เธอหลีกออกไปเสีย ที่ได้นำเรื่องนี้มากล่าวเพื่อให้รู้ว่า ท่านพระอุปวาณะก็เคยเป็นพระอุปัฏฐากองค์หนึ่งด้วยเหมือนกัน

O ข้อมูลเพิ่มเติม.

             พระอุปวาณเถระนี้ ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ ตามประวัติที่จะกล่าวต่อไปนี้


๐ กำเนิดในสมัยพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า

             ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เพราะอกุศลกรรมบางอย่างมาส่งผลจึงบังเกิดในตระกูลแห่งคนขัดสน เป็นคนรับจ้าง อาศัยอยู่ในพระนครหังสวดี บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน มหาชนมาประชุมกันบูชาพระตถาคต แล้วกระทำจิตกาธารอย่างสวยงาม ครั้นเมื่อปลงพระพุทธสรีระแล้ว มหาชนทั้งหมดก็ได้รวบรวมพระบรมสารีริกธาตุไว้ ณ ที่นั้น และได้สร้างพระพุทธสถูปสำเร็จด้วยทองสูงหนึ่งโยชน์ไว้ และเหล่าเทวดา นาค ครุฑ กุมภัณฑ์ ยักษ์ และคนธรรพ์ทั้งหลายต่างก็สร้างเสริมพระสถูปให้สูงใหญ่ขึ้นไปอีกเหล่าละโยชน์ รวมเป็นพระมหาเจดีย์สูง ๗ โยชน์ ณ ที่สถูปนั้น.เทวดาทั้งหลายแต่งตั้งเสนาบดียักษ์ ชื่อว่า อภิสัมมตกะ ไว้เพื่อรักษาเครื่องบูชาที่พระเจดีย์ ยักษ์นั้นไม่ปรากฏกาย เมื่อมนุษย์ทั้งหลายนำเครื่องบูชามาถวายสักการะยังพระเจดีย์ ยักษ์นั้นก็จะนำเครื่องสักการะนั้นเหาะขึ้นไปในอากาศเสมือนหนึ่งเครื่องสักการะนั้นได้ลอยขึ้นไปได้เองเพื่อบูชาพระบรมธาตุ มหาชนเห็นปาฏิหาริย์ดังนั้นก็เกิดปิติโสมนัส เมื่อยินดีแล้ว ย่อมไม่อิ่มต่อการบุญที่ควรกระทำในพระสถูปบรรจุพระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สูงสุดพระองค์นั้น

             ท่านได้เห็นหมู่ชน อันปลื้มปิติต่อการได้สักการะพระมหาสถูปนั้น ก็ปรารถนาจะทำสักการะต่อพระบรมธาตุบ้าง เพื่อจักได้เป็นทายาทในธรรมของพระองค์ในอนาคต ท่านจึงนำเอาผ้าห่มที่ได้ซักไว้ขาวสะอาดแล้ว ผูกไว้กับไม่ไผ่ทำเป็นธง ถวายธงนั้นเป็นเครื่องสักการะพระบรมธาตุ ยักษ์อภิสมมตกะนำธงนั้นเหาะไปในอากาศกระทำประทักษิณพระเจดีย์ ๓ รอบ เขาเห็นดังนั้นได้เป็นผู้มีใจเลื่อมใสเกินประมาณ

             เมื่อท่านสักการะพระบรมธาตุนั้นและกระทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้นแล้ว ได้เข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง กราบไหว้ภิกษุนั้นแล้ว ได้สอบถามถึงผลในการถวายธง พระเถระพยากรณ์ท่านว่า ท่านจักได้รับผลของการถวายธงนั้นในกาลทั้งปวง ท่านจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จักได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๘๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้

             ในแสนกัลป พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดม ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ท่านอันกุศลมูลตักเตือน เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว ประกอบด้วยบุญกรรม จักเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ ท่านจักละทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ทาสและกรรมกร เป็นอันมาก ออกบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามว่าโคดม ท่านจักยังพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมศากยบุตรผู้ประเสริฐให้โปรดปรานแล้ว จักได้เป็นพระสาวกของพระศาสดา มีชื่อว่าอุปวาณะ


๐ กำเนิดในสมัยพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า

             ในสมัยเมื่อพระวิปัสสีสัมมาพุทธเจ้าท่านมาเกิดเป็นพราหมณ์มหาศาล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ชนทั้งหลายได้พากันสร้างพระเจดีย์องค์หนึ่ง บรรจุพระสารีริกธาตุสรีระอันเป็นเช่นกับแท่งทองคำทึบ คนทั้งหลายใช้แผ่นอิฐทองยาว ๑ ศอก กว้างหนึ่งคืบ หนา ๘ นิ้ว ก่อพระเจดีย์นั้นประสานด้วยหรดาลและมโนศิลาแทนดิน ชะโลมด้วยน้ำมันงาแทนน้ำ แล้วสถาปนาพระมหาธาตุเจดีย์สูงประมาณโยชน์หนึ่ง ต่อนั้น ภุมมเทวดาก็สร้างต่อขึ้นไปอีกโยชน์หนึ่ง จากนั้น ก็อาสัฏฐกเทวดา จากนั้น ก็อุณหวลาหกเทวดา จากนั้น ก็อัพภวลาหกเทวดาจากนั้น ก็เทวดาชั้นจาตุมมหาราช จากนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์สถาปนาโยชน์หนึ่ง พระเจดีย์จึงสูง ๗ โยชน์ ด้วยประการฉะนี้.

             เมื่อผู้คนถือเอามาลัยของหอมและผ้าเป็นต้นมา อารักขเทวดาทั้งหลายก็พากันถือดอกไม้มาบูชาพระเจดีย์ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นเห็นอยู่ ครั้งนั้นท่านได้ถือผ้าเหลืองผืนหนึ่งไปเพื่อสักการะพระบรมธาตุ เทวดาก็รับผ้าจากมือพราหมณ์นั้นไปบูชาพระเจดีย์ พราหมณ์เห็นดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสตั้งความปรารถนาว่า ในอนาคตกาล แม้เราก็จักเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้า เช่นนี้บ้าง


๐ กำเนิดในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า

             ท่านเมื่อจุติจากอัตตภาพนั้น ก็ไปบังเกิดในเทวโลก เมื่อพรามหณ์นั้นท่องเที่ยวอยู่ในมนุษย์โลกและเทวโลก พระกัสสปะผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอุบัติในโลกแล้วปรินิพพาน พระธาตุสรีระของพระองค์ก็มีแห่งเดียวเท่านั้น ผู้คนทั้งทั้งหลายนำพระธาตุสรีระนั้น สร้างพระเจดีย์โยชน์หนึ่ง พราหมณ์ก็จุติมาเป็นเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์นั้นตามคำอธิษฐาน


๐ กำเนิดในสมัยพระศากยโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า

             ในพุทธุปบาทกาลนี้ท่านมาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถีได้นามว่า อุปวาณะ เมื่อท่านเจริญวัยแล้ว เห็นพุทธานุภาพในคราวทรงรับมอบพระเชตวันวิหาร


อนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างเชตวันมหาวิหารถวาย

             เศรษฐีคนหนึ่งในเมืองสาวัตถี เดิมชื่อ สุทัตตะ ท่านเป็นคนใจบุญ มีเมตตากรุณา ได้เตรียมก้อนข้าวไว้เพื่อแจกจ่ายให้แก่คนยากจนอนาถาเสมอๆ คนทั้งหลายจึงให้ชื่อท่านว่า อนาถปิณฑิกะ อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้พบกับพระพุทธเจ้าครั้งแรก ที่นครราชคฤห์ สมัยนั้นท่านเศรษฐีได้ไปสู่นครราชคฤห์ เพื่อธุรกิจการค้า และได้ไปพักอยู่กับท่านเศรษฐีชาวกรุงราชคฤห์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นพี่เขยของท่าน ในวันที่ท่านไปถึงนั้น ท่านได้เห็นท่านเศรษฐีเจ้าของบ้าน กำลังตระเตรียมอาหารเพื่อถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์ อันมีพระพุทธองค์เป็นประธาน ท่านจึงทราบว่า มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้ว ท่านก็เกิดปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง อยากจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้ามาก ในวันรุ่งขึ้น เมื่ออนาถปิณฑิกเศรษฐีได้พบพระบรมศาสดาแล้ว พระองค์ได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาโปรด ท่านเศรษฐีก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และขอถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต
ครั้นในวันรุ่งขึ้น ท่านได้ถวายอาหารบิณฑบาตแด่พระพุทธองค์ และพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระพุทธองค์เสวยเสร็จแล้ว ท่านเศรษฐีได้กราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์และพระภิกษุสงฆ์ ให้เสด็จไปจำพรรษาที่นครสาวัตถีบ้าง ครั้นท่านเศรษฐีได้ทำธุรกิจในนครราชคฤห์เสร็จ ก็ออกเดินทางกลับไปยังนครสาวัตถี เมื่อไปถึงนครสาวัตถี ก็เที่ยวตรวจดูสถานที่อันเหมาะสมที่จะเป็นพระอาราม จึงเลือกได้สวนของเจ้าเชต แล้วขอซื้อด้วยราคา ๑๘ โกฏิ และสิ้นค่าก่อสร้างวิหาร หอฉัน ฯลฯ ต่างๆ รวมทั้งหมดสิ้นเงินอีก ๑๘ โกฏิ วิหารนี้มีชื่อว่า เชตวนาราม เพราะเป็นสวนของเชตกุมารมาก่อน

             ครั้นพระพุทธองค์ได้ประทับอยู่ในนครราชคฤห์ พอสมควรแล้ว ก็เสด็จจาริกไปโดยลำดับถึงนครเวสาลี ทรงพักอยู่ที่นั้นพอสมควรแล้วเสด็จจาริกต่อไปจนถึงนครสาวัตถี ประทับ ณ เชตวนาราม ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเศรษฐีได้ถวายพระอารามแก่สงฆ์ในวันรุ่งขึ้นนั้นเอง

             ในวันที่พระพุทธองค์ทรงรับพระเชตวนารามนั้นเอง เป็นวันที่ อุปวาณมานพได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา ได้ฟังธรรม และได้ออกบวชเป็นบรรพชิต กระทำกรรมในวิปัสสนา ต่อมาก็ได้บรรลุอรหัตผล ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖

             หมายเหตุ.-ในวันเดียวกันนั้น ก็เป็นวันที่นันทกมาณพ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบรมศาสดาเช่นกัน ได้ฟังธรรม และได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ต่อมาก็ได้บรรลุอรหัตผล ซึ่งภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงสถาปนาพระนันทกเถระไว้ในตำแหน่งเอตทัคคมหาสาวกผู้ให้โอวาทสอนภิกษุณี


๐ พระเถระเป็นพุทธอุปัฏฐาก

             ท่านได้เคยเป็นพุทธอุปัฏฐากอยู่ระยะหนึ่ง ในสมัยต้นพุทธกาล เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่มีพระอุปัฏฐากประจำ ในครั้งนั้น บางคราว พระนาคสมาละถือบาตรและจีวรตามเสด็จ บางคราวพระนาคิตะ บางคราวพระอุปวาณะ.บางคราวพระสุนักขัตตะ บางคราวจุนทสมณเทส บางคราวพระสาคตะ บางคราวพระเมฆิยะ

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ทรงประชวร ด้วยลมในท้อง.เล่ากันมาว่า เมื่อครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำทุกกรกิริยา ๖ พรรษา ทรงนำเอาถั่วเขียวและถั่วพูเป็นต้นอย่างละฟายมือมาเสวย ลมในพระอุทรกำเริบเพราะเสวยไม่ดีและบรรทมลำบาก สมัยต่อมา ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณแล้ว แม้เสวยโภชนะประณีตอาพาธนั้นก็ยังปรากฏตัวเป็นระยะๆ ครั้งนั้น ท่านพระอุปวาณะ ได้เป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า พระอุปวาณเถระลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง เช่นกวาดบริเวณถวายไม้ชำระพระทนต์ จัดถวายน้ำสรง ถือบาตรจีวรตามเสด็จ

             ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเรียกท่านพระอุปวาณะมาตรัสว่า อุปวาณะเธอจงรู้น้ำร้อนเพื่อฉัน ท่านพระอุปวาณะทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว นุ่งสบงถือบาตรและจีวรเข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์

             ได้ยินว่า ตลอดเวลา ๒๐ ปี ในปฐมโพธิกาล ป่าปราศจากควันไฟ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังมิได้ทรงอนุญาต ที่ต้มน้ำแก่ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อว่าเทวหิตพราหมณ์ เป็นสหายของพระเถระแต่ครั้งยังเป็นคฤหัสถ์ อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี เขาปวารณาพระเถระด้วยปัจจัย ๔ ก็พราหมณ์นั้นเลี้ยงชีพด้วยการตั้งโรงอาบน้ำร้อน โดยให้ทำเตาเป็นแถว ยกภาชนะใหญ่ๆ ขึ้นตั้งบนเตา ต้มน้ำให้ร้อนแล้วขายน้ำร้อนพร้อมกับผงสำหรับอาบน้ำเป็นต้นเลี้ยงชีพ ผู้ประสงค์อาบน้ำร้อนก็จะไปในที่นั้นแล้วให้จ่ายเงินเพื่ออาบน้ำลูบไล้ด้วยของหอม ประดับดอกไม้แล้วหลีกไป เพราะฉะนั้น พระเถระจึงเข้าไปในที่นั้น และแจ้งความประสงค์ต่อพราหมณ์นั้น

             พราหมณ์นั้น ถามว่า พระสมณโคดมทรงไม่สบายเป็นอะไร ครั้นเมื่อได้ทราบว่า เป็นโรคลมในท้อง จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเรารู้จักยาในเรื่องนี้ ต่อแต่นี้ขอท่านจงเอาน้ำหน่อยหนึ่งละลายน้ำอ้อยนี้ ถวายให้ทรงดื่มในเวลาสรงเสร็จพระเสโทจักซึมออกภายนอกพระสรีระด้วยน้ำร้อน ลมในท้องจักหายด้วยยานี้ด้วยประการฉะนี้ พระสมณโคดมจักทรงสำราญ ด้วยอาการดังว่ามานี้

             ครั้งนั้น เทวหิตพราหมณ์ให้บุรุษ คนใช้ถือกาน้ำร้อน และห่อน้ำอ้อยตามไปถวายท่านพระอุปวาณะ ลำดับนั้น ท่านพระอุปวาณะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับแล้ว อัญเชิญให้พระผู้มีพระภาคสรงสนาน และละลายน้ำอ้อยด้วยน้ำร้อนแล้วถวายพระผู้มีพระภาค ครั้นเมื่อทรงเสวยน้ำอ้อยนั้นพระผู้มีพระภาคก็ทรงหายประชวร


๐ พระพุทธเจ้าโปรดเทวหิตพราหมณ์

             ได้ยินว่า เมื่ออาพาธที่มีในพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นสงบแล้ว ได้เกิดเรื่องพูดกันว่า เทวหิตพราหมณ์ถวายเภสัชแด่พระตถาคต โรคสงบเพราะเภสัชนั้นนั่นเอง น่าอัศจรรย์ ทานของพราหมณ์เป็นบรมทาน เทวหิตพราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว เกิดโสมนัสว่า กิตติศัพท์ของเรานี้ขจรไปแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เอง ประสงค์จะทราบผลแห่งทานที่ตนกระทำลงไปจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระทศพล

             ครั้นเมื่อเทวหิตพราหมณ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับแล้ว ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

             “บุคคลควรให้ไทยธรรมในบุคคลไหน ?
             ไทยธรรมวัตถุอันบุคคลให้ในบุคคลไหน จึงมีผลมาก ?
             ทักษิณาของบุคคลผู้บูชาอยู่อย่างไรเล่า ? จะสำเร็จได้อย่างไร ?”


พระศาสดาทรงแก้ปัญหาของพราหมณ์

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า  "ผู้ใดรู้ขันธ์ที่เคยอาศัยในก่อน แลเห็นสวรรค์และอบาย บรรลุพระอรหัตอันเป็นที่สิ้นชาติ อยู่จบแล้วเพราะรู้ยิ่ง เป็นมุนี พึงให้ไทยธรรมในผู้นี้ ทานที่ให้แล้วในผู้นี้มีผลมาก ทักษิณาย่อมสำเร็จแก่บุคคลผู้บูชาอย่างนี้แหละ ฯ

             เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว เทวหิตพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางส่องประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักมองเห็นรูปได้
            
ข้าแต่ท่านพระโคดมข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ


๐ พระพุทธองค์ขับพระเถระเพราะยืนบังเทวดา

             แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดให้พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำแล้ว ในบางคราวก็ทรงโปรดให้พระจุนทะถวายการรับใช้ เช่น เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงปลงอายุสังขารแล้ว ทรงเสด็จไปที่เมืองกุสินารา

             เมื่อพระพุทธเจ้าบรรทมบนพระแท่นที่ปรินิพพานที่สาลวโนทยานเมืองกุสินารานั้น ท่านพระอุปวาณะก็ได้ยืนทำหน้าที่ถวายงานพัดเฉพาะพระพักตร์พระพุทธองค์ พวกเทวดาในหมื่นโลกธาตุที่มาประชุมกันเพื่อเข้าเฝ้าถวายบังคมพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้าย ไม่สามารถจะเข้าเฝ้าได้ เพราะเห็นท่านพระอุปวาณะยืนขวางอยู่ พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า พระเถระนั้นท่านมีร่างใหญ่เช่นกับลูกช้าง อีกทั้งเมื่อห่มผ้าบังสุกุลจีวร ก็ทำให้ดูเหมือนใหญ่มาก

             เทวดาทั้งหลาย เมื่อไม่ได้เห็นพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงติเตียนพระเถระ ถามว่า ก็เทวดาเหล่านั้นไม่สามารถมองทะลุพระเถระหรือ ตอบว่า ไม่สามารถสิ ด้วยว่า เหล่าเทวดาสามารถมองทะลุเหล่าปุถุชนได้ แต่มองทะลุเหล่าพระขีณาสพไม่ได้ ทั้งไม่อาจเข้าไปใกล้ด้วย เพราะพระเถระนั้นมีอานุภาพมาก มีอำนาจมาก ถามว่า ก็เพราะเหตุไรพระเถระจึงมีอำนาจมาก ผู้อื่นไม่เป็นพระอรหันต์หรือ ตอบว่า เพราะท่านเคยเป็นอารักขเทวดาในเจดีย์ของพระกัสสปพุทธเจ้ามาก่อน

             พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุที่เทวดาติเตียนพระเถระเช่นนั้นจึงได้รับสั่งให้ท่านพระอุปวาณะออกไปจากที่เฝ้า โดยทรงตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอจงหลีกไป ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น พรเถระก็วางพัดใบตาลแล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระอานนท์เห็นดังนั้นก็บังเกิดความสงสัยว่า ท่านอุปวาณะรูปนี้เป็นอุปัฏฐากอยู่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคมาช้านาน ก็และเมื่อเป็นเช่นนั้น ในกาลครั้งสุดท้าย พระผู้มีพระภาคทรงขับท่านอุปวาณะเช่นนั้นเป็นเพราะอะไรหนอ ท่านพระอานนท์จึงได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงสาเหตุดังกล่าว

             พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุมา ประชุมกันเพื่อจะเห็นตถาคต เมืองกุสินารา สาลวัน แห่งพวกเจ้ามัลละขนาดโดยรอบถึง ๑๒ โยชน์ ตลอดตลอดทุกแห่งหนนั้นจะหาที่ว่างแม้มาตรว่าเป็นที่จรดลงแห่งปลายขนทรายแล้วมิได้มี พวกเทวดากล่าวโทษอยู่ว่า พวกเรามาแต่ที่ไกลเพื่อจะเห็นพระตถาคต ไม่รู้ว่าเวลาหนึ่งเวลาใดในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละที่พระตถาคตจักปรินิพพาน ก็ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ ยืนบังอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ทำให้พวกเราไม่ได้เห็นพระตถาคตในกาลเป็นครั้งสุดท้าย

             ด้วยเหตุนี้แหละพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงขับพระเถระเพื่อมิให้ขวางการเฝ้าชมพระบารมีของเหล่าเทวดาทั้งหลาย

๐ บั้นปลายชีวิต
            ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไม่ระบุว่าท่านนิพพานที่ใหน และเมื่อใด แต่ท่านคงดำรงขันธ์อยู่พอสมควรแก่กาลแล้ว จึงนิพพาน ตามเรื่องที่กล่าวมานี้ เข้าใจว่าท่านคงจะนิพพานภายหลังแต่พุทธปรินิพพาน


อ้างอิง.-
          ๑.กรมพระยาวชิรญาณวโรรส. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า. (2525). ธรรมวิภาคปริเฉทที่ 2. พิมพ์ครั้งที่ 23. กรุงเทพฯ: คณะกรรมการแผนกตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย.
          ๒.ชีวประวัติพุทธสาวก ประวัติพระอัจฉริยะมหาเถระเมื่อครั้งพุทธกาล เล่ม 1 จำเนียร ทรงฤกษ์ , 2542 , พิมพ์โดยสำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว (สาขาวัดปากน้ำ), พิมพ์โดย สำนักพิมพ์ธรรมสภา
          ๓.ธรรมสภา,อสีติมหาสาวก๘๐พระอรหันต์,ฉบับจัดพิมพ์เป็นธรรมทานในมงคลวาระคล้ายวันเกิด คุณอำพัน-คุณสุมารัตน์ วิประกาษิต,กรุงเทพฯ, ๒๕๔๘,
          ๔.บุญโฮม ปริปุณฺณสีโล(ไชยฤทธิ์),พระมหา,คู่มือเรียนนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท, ฉบับพิมพ์โรเนียวเย็บเล่ม, สำนักศาสนศึกษาวัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี, ๒๕๓๕
          ๕.บุญโฮม ปริปุณฺณสีโล(ไชยฤทธิ์),พระมหา,ปัญหาและเฉลยสำหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นโท, ฉบับพิมพ์โรเนียวเย็บเล่ม, สำนักศาสนศึกษาวัดท่าไทร จ.สุราษฎร์ธานี, ๒๕๓๕
          ๖.แม่กองธรรมสนามหลวง. ธรรมศึกษาชั้นโท ฉบับปรับปรุงใหม่ที่ประกาศใช้ในปัจจุบัน. กรุงเทพ. สำนักพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (สำนักพิมพ์กรมการศาสนา), พ.ศ. ๒๕๕๐
          ๗.ศูนย์พระสงฆ์นักเผยแผ่ธรรมะเพื่อพัฒนาสังคม,คู่มือธรรมศึกษาชั้นโท, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ พ.ศ.๒๕๔๗,โรงพิมพ์เอกพิมพ์ไท จำกัด,กรุงเทพฯ,๒๕๔๗
          ๘.เว็บไซต์ 84000
          ๙.เว็บไชต ธรรมะ เกตเวย์
          ๑๐.พระอสีติมหาสาวก, จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
          ๑๑.http://www.dharma-gateway.com/
          ๑๒.http://www.manager.co.th/Dhamma/