บทบาทของพระสงฆ์ไทยในอดีตกับการสร้างชาติไทย
โดย:ผลเอก จงศักดิ์ พานิชกุล เจ้ากรมเสมียนตรา
วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2009 เวลา 09:45 น. Pong Articles - Featuring Articles



              สวัสดีผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน ผมในนามสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และ กรมเสมียนตรา ซึ่งเป็นหน่วยที่รับผิดชอบในการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการครั้งนี้
              ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้าทุกท่านที่ได้กรุณาให้เกียรติสละเวลามาร่วมในกิจกรรมครั้งนี้ ขอขอบคุณผู้แทนองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งภาคองค์กรการกุศลที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ขอกล่าวถึงความเป็นมา เพื่อทำความเข้าใจวันนี้ช่วงบ่าย ในวันพรุ่งนี้ทั้งวัน และวันอาทิตย์ประมาณครึ่งวัน ท่านทั้งหลายได้มีโอกาสมาร่วมกัน

              ความเป็นมาในการจัดการประชุมเชิงสัมมนาครั้งนี้ เกิดขึ้นจากสภาพการณ์ในปัจจุบัน เริ่มจากความขัดแย้งในสังคม เกี่ยวกับความคิดการเมือง วิธีการแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมือง การสมานฉันท์จึงเป็นวิธีหนึ่ง การสร้างสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมมีหลายวิธี ได้แก่ เล่นกีฬา กิจกรรมบันเทิง พระพุทธศาสนาก็เป็นแนวทางหนึ่งที่จะสร้างความสมานฉันท์ รัฐบาลได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยราชการทุกหน่วยปฏิบัติ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานหนึ่งได้รับมอบหมายให้ดำเนินการ ในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี ของกรมเสมียนตรา จึงถือโอกาสจัดกิจกรรม นี้ขึ้น ผมได้นำความนี้ไปกราบหารือกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้รับความเมตตา จากท่านอย่างสูงยิ่ง ซึ่งทางมหาเถรสมาคมจะอุปถัมภ์ให้ความช่วยเหลือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมท่าน เห็นชอบด้วยกับการจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการและได้กรุณามาเป็นประธานในพิธี ตอนแรก ๆ หนักใจมาก เพราะการจัดสัมมนาระหว่างข้าราชการทหารด้วยกันนั้นง่าย แต่ครั้งนี้ได้นมัสการพระคุณเจ้าเข้าร่วมสัมมนาด้วย ผมสบายใจมากว่าพระเถระผู้ใหญ่ทุกท่านได้ให้ความเมตตากรุณาอย่างยิ่ง ให้พวกเราที่เป็นทหารฟังว่าท่านเมตตา ถึงเวลาแล้วที่ต้องมาทำงานร่วมกัน สิ่งที่เราต้องการที่สุดในการสัมมนาคือความคิดประสบการณ์ของท่านทั้งหลาย เพื่อระดมความคิดให้ตกผลึก เป็นแนวทางนำเรียนผู้ใหญ่ และจะได้รับทราบว่าการสัมมนาระหว่างข้าราชการทหารและพระเถระผู้ใหญ่ มีความคิดอย่างไรต่อปัญหานี้ คิดอย่างไรต่อการสร้างความสมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ความคิดของเรานั้นจะอยู่ในกรอบของพระพุทธศาสนาว่า จะนำธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นไปใช้สร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นกับสังคมอย่างไร ดังนั้น ท่านที่มีประสบการณ์ช่วยกันคิด และนำไปปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุศาสนาจารย์ร่วมกับทางคณะสงฆ์ร่วมกับองค์กรพุทธศาสนาต่าง ๆ ถามผมว่า แล้วผลหรือ เรื่องการสร้างความรักความสามัคคีระหว่างชนในชาติ เป็นเรื่องที่ประเมินไม่ได้ แต่ทุกคนก็ต้องช่วยกันทำ การสร้างความเป็นปึกแผ่นในชาติบ้านเมืองนั้น เหมือนกงจักรที่มีขนาดใหญ่ พวกเราก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นกงจักรเล็ก ๆ กงจักรหนึ่งที่จะต้องหมุนไป ถ้ากงจักรมันหมุนพร้อม ๆ กันหมด เชื่อว่าบ้านเมืองต้องอยู่รอด อยู่กันด้วยความรักสามัคคีและก้าวไปสู่ความเจริญก้าวหน้า

              ขอเรียนให้ทราบ ว่าจิตวิญญาณของการที่จะเข้าร่วมสัมมนา เป็นเรื่องที่ผมต้องการสิ่งที่ต้องพูดในวันนี้คือประเทศชาติก่อน

              กรณีแรก คิดว่าเมื่อสองพันปีก่อน คงไม่มีอารยะธรรม ไม่มีคน การที่มนุษย์มาอยู่กัน โดยอาศัยแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำปิง วัง ยม น่าน แม่น้ำมูล เป็นการเริ่มของเศรษฐกิจ

              กรณีที่สอง การทำมาหากิน การตั้งชุมชนขึ้น เมื่อชุมชนมาอยู่ร่วมกันแล้ว ปัญหาคือเรื่องของกฎ ระเบียบของชุมชน ต้องมีผู้นำชุมชน ตั้งตัวเป็นใหญ่ เป็นกษัตริย์ เรียกว่ามีรากฐานขึ้นมา

              กรณีที่สาม คือเมื่ออยู่รวมกันเป็นชุมชนกลุ่มใหญ่ ต้องอยู่ร่วมกัน มีความคิดที่ยึดถืออะไรเหมือน ๆ กัน คือเรื่องของจิตวิญญาณ

              รัฐต่าง ๆ เกิดขึ้นได้เพราะ ๓ ประการนี้ คือเรื่องของปากท้อง เรื่องของกฎ ระเบียบ เรื่องของจิตวิญญาณ ตัวอย่าง สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนอเมริกาเดิมเป็นของอินเดียแดง พวกยุโรปได้อพยพอยู่ ดินแดนอเมริกา อุดมสมบูรณ์ ปลูกอะไรก็ขึ้น ข้าวโพด ฟักลูกใหญ่ คนยุโรปได้อพยพไปอยู่ การเริ่มต้นของชุมชน ต้องการเป็นประเทศขึ้นมา กำหนดกฎ ระเบียบ สหรัฐมีคนหลายเชื้อชาติหลายศาสนา หลายนิกาย จิตวิญญาณของสหรัฐที่รักษาไว้คือคำว่าเสรีภาพ ประเทศรัสเซียเมื่อ ๗๐ ปีก่อน ซึ่งรวมกันด้วยคำว่าสังคมนิยม เป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยก็มีจิตวิญญาณ เรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตย จิตวิญญาณสร้างประเทศไทยขึ้นมา คือเรื่องพระพุทธศาสนา บ้านเมืองนี้สร้างขึ้นมาจากพระพุทธศาสนา เดิมไม่มีศาสนา เดิมนับถือพราหมณ์ ต่อมาเมื่อมีพระพุทธศาสนาโดยสร้างอาณาจักรสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ มีพระพุทธศาสนาเป็นจิตวิญญาณค้ำจุน พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ถึงจะต้องยึดถือเอาเรื่องศาสนาพุทธเป็นเรื่องสำคัญในการสร้างบ้านเมือง ศาสนาพุทธคือศาสนา ซึ่งสร้างบ้านเมืองนี้ขึ้นมา การป้องกันพระพุทธศาสนา การป้องกันราชบัลลังก์ เพราะกษัตริย์ไทยในสมัยโบราณเปลี่ยนราชวงศ์ ราชวงศ์ไหนต้องรักษาไว้ ก็คือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาในสมัยโบราณก็มีผู้แทนศาสนาคือพระสงฆ์ ในสมัยโบราณตั้งแต่สุโขทัยมีบทบาทสำคัญในการสร้างชาติทั้งสิ้น บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ได้เรียนสมเด็จเจ้าพระคุณสมเด็จพุฒาจารย์ให้ฟังท่านให้จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ประเทศไทยเกิดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ปัจจุบัน ๗๐๐ กว่าปี นี้

              พระสงฆ์มีบทบาทการรักษาความเป็นไทย บทบาทในการทำนุรักษาบ้านเมือง บทบาทเกี่ยวกับทางรัฐศาสตร์คือให้คำเสนอแนะแด่พระมหากษัตริย์ บทบาทเรื่องขวัญกำลังใจให้ประชาชนอยู่ร่วมกัน สมัยสุโขทัยศาสนาพุทธรุ่งเรืองมาก สมัยพระเจ้าลิไท อาณาจักรสุโขทัยหลวมมากคือไม่ค่อยมีกำลัง พระองค์แต่งไตรภูมิพระร่วง ท่านบวชเป็นพระสงฆ์ ทำให้คนในศาสนาพุทธเข้มแข็งขึ้น เป็นบ้านเป็นเมืองขึ้น แล้วพระมหากษัตริย์เกือบทุกพระองค์ก็ใช้เวลาบวชในพระบวรพุทธศาสนา ถือเป็นยุคทองยุคแรกเริ่มของพุทธศาสนาในการสร้างอาณาจักรในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระที่โดดเด่นมากคือมหาเถรคันฉ่อง ท่านเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ขึ้นครองราชย์ อายุน้อยมาก พระองค์โชคดีได้มีพระผู้ใหญ่คอยให้คำปรึกษามหาเถร คันฉ่องท่านเป็นพระมอญ ตามประวัติศาสตร์พม่าเห็นว่าพระนเรศวรเป็นกษัตริย์ที่โดดเด่น ก็ให้พระยาเกียรติ พระยารามรอบปลงพระชนม์ ท่านมหาเถรคันฉ่องไปเล่าให้พระนเรศวรฟัง จึงประกาศอิสรภาพเป็นรัฐไทย อีกท่านหนึ่งที่อยู่ในยุคสมัยเดียวกันก็คือสมเด็จพระวรรณรัตน์ วัดป่าแก้ว บางท่านก็เรียกพระพรรณรัตน์ สมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถี แต่โกรธมากที่บรรดาแม่ทัพ นายกองตามขบวนเสด็จไม่ทัน เมื่อเสร็จศึกก็จะทำพิธีตัดหัว พระยาท้ายน้ำ อื่น ๆ สมเด็จพระพรรณรัตน์วัดป่าแก้ว ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ ท่านก็ไปเทศน์ให้สมเด็จพระนเรศวรฟังว่าการให้นึกถึงพระพุทธเจ้าในบทพหุงมหากาฬ ว่าพระพุทธเจ้านั้นท่านได้ต่อสู้กับเหล่ามารชนะมารได้ด้วยลำพังพระองค์เองไม่มีใครช่วย พระมหาบรพิศก็เป็นเช่นเดียวกันต่อสู้กับข้าศึกด้วยพระองค์ท่านเองเป็นเกียรติยศสืบไปภายหน้า พระนเรศวรท่านได้ใช้พรหมวิหาร ๔ ในการปกครองคนถ้าไม่มีสมเด็จพระพรรณรัตน์ วันนั้น ถ้าเกิดไปประหารชีวิตหมดทั้ง ๕ คน ๖ คนก็ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นในกรุงศรีอยุธยาชื่อเสียงพระเกียรติยศ ก็จะไม่ปรากฏก้องเหมือนทุกวันนี้ สรุปได้ว่าสมเด็จพระพรรณรัตน์ก็เป็นพระท่านหนึ่งที่ได้ทำให้บ้านเมืองเรามีกษัตริย์ที่เก่งกล้าจนทำให้บ้านเมืองมั่นคง อีกครั้งที่บางระจัน เป็นชาวบ้านธรรมดา คือพระอาจารย์ธรรมโชติ หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกในครั้งที่ ๒ ชาวบ้านไร้ที่พึ่งก็รวบรวมกันต่อสู้กับพม่าแล้วก็ไปเชิญพระอาจารย์ธรรมโชติอยู่ที่อ่างทอง อำเภอวิเศษไชยชาญ มาเป็นที่พึ่งทางใจกับบรรดานักรบชาวบ้านบางระจัน พระอาจารย์ธรรมโชติท่านเป็นพระที่จะไปรบทัพจับศึกได้ยังไง จะช่วยทำเครื่องรางของขลังทำผ้าประเจียด คืออำนาจกำลังรบที่ไม่มีตัวตน ก็ทำให้ชาวบ้านบางระจันสู้ศึกได้หลายเดือน จนครั้งสุดท้ายคาดว่าต้องพ่ายแพ้แน่ นิมนต์อาจารย์ธรรมโชติให้หนีไป อยู่อาจารย์ตายแน่ อาจารย์ธรรมโชติไม่หนี จนในที่สุดหัวหน้าชาวบ้านบางระจันมีวิธีพูดกับอาจารย์ธรรมโชติว่าถ้าบ้านบางระจันแตกใครจะมาทำศพพวกผม มีอาจารย์คนเดียวเป็นพระมาทำศพพวกผมท่านถึงยอมออกจากหลังค่ายหนีไป คือหลังจากนั้น ๓ วัน ค่ายบางระจันก็แตก พระอาจารย์ธรรมโชติก็นำคนมาช่วยเก็บศพทำบุญให้ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากทำบุญแล้ว ก็คือบันทึกเรื่องของชาวบ้านบางระจันเกิดขึ้น ในยุคที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ไม่มีกล้องวีดีโอ รู้เรื่องเหล่านี้อาจารย์ธรรมโชติท่านบันทึกไว้ทั้งหมด เพราะท่านเป็นพระท่านรู้หนังสือแล้วท่านอยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นชื่อของคนที่อยู่ในบ้านบางระจันที่ปรากฏอยู่ทั้งหมด ได้แก่ นายแท่น นายดอก นายอินทร์ ขุนสัน พันเรือง นายทองแสงใหญ่ นายโชติ นายทองเหม็น เป็นผู้กล้าหาญชาญชัย นายจันทร์หนวดเขี้ยว และสิ่งซึ่งอาจารย์ธรรมโชติบันทึกไว้นั้นมีค่ามหาศาลคือ เอกลักษณ์ของความเป็นนักรบความเป็นนักสู้ความเป็นคนหวงแหนแผ่นดินของคนไทย ซึ่งมาชักจูงคนไทยรักชาติบ้านเมือง

              สมัยรัชกาลที่ ๓ เมืองระนอง เมืองภูเก็ต มีการค้นพบแร่ดีบุกเกิดขึ้น เรื่องเศรษฐกิจ คนอพยพมาขุดแร่ดีบุก มีกรรมกรมาจากมาลายู เป็นคนจีนเข้ามากันมากทั้งเมืองระนองและเมืองภูเก็ต คนจีนมี ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเรียกว่าพวกฮกเกี้ยน พูดภาษาฮกเกี้ยน อีกพวกหนึ่งก็จะเป็นพวกกวางตุ้ง ใช้ภาษาต่างกัน จะมากเข้ามีจำนวนมากกว่าคนไทยในพื้นที่ เพราะว่ามาขุดแร่เป็นกรรมกร อยู่ ๆ ไปก็ทะเลาะกัน มีผู้นำเรียกตั๋วเฮีย ตั้งเป็นแก๊งขึ้นเรียกว่าอังยี้ พวกนี้ก็ทะเลาะกันยิงกันจนในที่สุดตำรวจก็เอาไม่อยู่ ตำรวจมีน้อยครับ รบกันมาจับกลุ่มกันมาพวกนี้ก็มากขึ้น จนมีลูกน้องตั้งเป็นกองทัพอังยี้มีคนตั้งสองสามพันคน มีทั้งปืนมีทั้งอาวุธ ต้องการยึดเมืองภูเก็ต เรื่องก็มาเกิดรุนแรงที่สุดสมัยราชการที่ ๕ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๓ กรุงเทพก็ส่งกำลังไปปราบ ปราบก็ปราบได้ แต่ปราบได้เฉพาะในตัวเมือง พวกนี้ก็กระจายไปข้างนอกหมดเหมือน เจอบ้านไหนพอมีเงินมีทองก็ปล้น จนกระทั่งมาถึงบ้านที่ว่าคือก็คือชาวบ้านฉลอง คนบ้านฉลองไม่มีใครอยู่ ก็ไปนิมนต์หลวงพ่อแช่มซึ่งเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดฉลองให้ไปด้วย หลวงพ่อแช่มไม่ไปหรอก ฉันเป็นพระฉันต้องเฝ้าวัด ความคิดของหลวงพ่อแช่มก็จุดประกายชาวบ้าน บอกพระยังไม่หนีเลย เราจะไปทิ้งบ้านเรือน ก็คิดจะสู้กับพวกโจรอังยี้ คนหนุ่มก็ถือปืน คนสาวก็ทำอาหาร หลวงพ่อแช่มท่านเป็นพระท่านทำผ้าประเจียดแจก ผ้าประเจียดหลวงพ่อแช่มเป็นการปลุกระดมขวัญของชาวบ้านแถว ๆ นั้น สู้กับอังยี้ อังยี้เข้าตีวัดซึ่งเอาวัดเป็นศูนย์กลาง อังยี้เข้าตีวัดฉลองหลายครั้งจนในที่สุดก็ต้องแพ้ไป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าหอยู่หัวท่านทราบดี ท่านโปรดเกล้ายกหลวงพ่อแช่มเป็นตัวอย่างของคนไทยที่รักษาเมืองไทยไว้ พระราชทานทินนามเป็นพระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุณี รูปหลวงพ่อแช่มท่านเป็นเพียงพระครู แต่ท่านได้รับพระราชทานพัตรแหลม ตาลปัตรพัดยศของท่านเจ้าคุณ ท่านเป็นพระครู แต่พัดยศที่ท่านได้รับเป็นชั้นท่านเจ้าคุณ เรื่องของหลวงพ่อแช่มวัดฉลองซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ว่าบทบาทของพระสงฆ์ในการเป็นผู้นำในการรักษาชาติบ้านเมืองในภาคใต้ก็มี ไม่มีหลวงพ่อแช่มจังหวัดภูเก็ตทั้งจังหวัดจะเป็นเหมือนปีนังหรือเปล่า เพราะเราเสียปีนังไปเพราะไม่มีคนไทยที่กล้าจะอยู่ คนจีนเลยมายึดเอาหมด อังกฤษก็ถือเหตุว่าในเกาะปีนังมีคนไทยน้อย คนมาลายูก็น้อย แต่คนจีนมาก ดังนั้นอังกฤษจึงขอเกาะปีนังไว้ เมื่ออังกฤษยึดมาลายูได้ ก็มาเจรจากับรัฐบาลไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ว่าอังกฤษจะมาปกครองมาลายู

              สำหรับเรื่องที่ผมได้เล่ามานี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงว่า บทบาทของพระสงฆ์มีความสำคัญยิ่งกับการสร้างความมั่นคงของชาติ และการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติที่มีมาอย่างยาวนาน ในโอกาสนี้ผมต้องขอขอบคุณผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่าน ซึ่งผลการสัมมนาครั้งนี้นำเสนอปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเป็นประธานในพิธีปิด ต่อจากนั้นจะสรุปนำเรียน แล้วก็สรุปขึ้นไปกราบนมัสการ กราบเรียนให้คณะสงฆ์ในมหาเถรสมาคมทราบทุกท่าน จะได้ข้อเสนอดี ๆ ให้ภาครัฐ นำเสนอผ่านสำนักงานพุทธขึ้นไปถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รมว.กระทรวงวัฒนธรรมแบบ เมื่อเสร็จสิ้นการสัมมนาผมต้องการเห็นความสัมพันธ์ของท่านทั้งหลาย กับพระคุณเจ้ากับวัดกับคณะแม่ชีทั้งหลายกับองค์กรพุทธทั้งหลาย ประสานต่อกันมีทำงานร่วมกัน นี่เป็นสิ่งที่ทางเราปรารถนามาก ฝากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เข้ามาร่วมสัมมนา สมเด็จเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ ท่านต้องการให้มีเรื่องที่ท่านทั้งหลายก็ช่วยคิด จะทำยังไงเพราะเราถือว่าเหมือนที่ผมได้เรียนว่าเป็นองค์กรหลัก องค์กรทหารกับองค์กรศาสนาแล้วก็เน้นย้ำให้ท่านทั้งหลายเห็นประวัติศาสตร์ว่าบ้านเมืองนี้มันสร้างมาโดยพวกเราเป็นหลัก

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ สร้างสมานฉันเพื่อความมั่นคงของชาติ และพระพุทธศาสนา

หมายเหตุ.- เป็นบทความที่มีประโยชน์ จึงได้ขอคัดลอกนำมาเสนอ ขอขอบคุณเจ้าของบทความไว้ ณ ที่นี้



**************************

กลับไปหน้า Web วัดท่าไทร
ไป Web สำนักงานเจ้าคณะภาค ๑๖
ไป Web ศูนย์ฝึกอบรมคอมพิวเตอร์วัดท่าไทร