| ชื่อ
 ข้อ ๑. มูลนิธินี้ให้ชื่อว่า "สิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ"
   วัตถุประสงค์ 
              
             
              ข้อ ๒. วัตถุประสงค์ของมูลนิธิมีดังต่อไปนี้๒.๑ เพื่อบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาและพระภิกษุสามเณรวัดท่าไทร
 ๒.๒ เพื่อการกุศลสาธารณประโยชน์
 ๒.๓ เพื่อร่วมมือกับองค์การการกุศลอื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
 สำนักงาน              
              ข้อ ๓. สำนักงานของมูลนิธินี้ ตั้งอยู่ที่วัดท่าไทร เลขที่ ๓๒๔ หมู่ที่ 
              ๒ ตำบลท่าทองใหม่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี  ทุนทรัพย์และทรัพย์สิน             
              ข้อ ๔. ทรัพย์สินของมูลนิธิ มีทุนเริ่มแรก คือ๔.๑ เงินสดจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งแสนบาทถ้วน)
 ข้อ ๕. มูลนิธินี้อาจได้มาซึ่งทรัพย์สินดังต่อไปนี้
 ๕.๑ เงินได้จากผู้มีจิตศรัทธาบริจาค
 ๕.๒ ทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่น ๆ โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินแต่ประการใด
 ๕.๓ ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินอันเป็นทุนของมูลนิธิ
 ๕.๔ เกิดจากรายได้อื่น ๆ ของวัด ซึ่งส่งสมทบทุนเป็นมูลนิธิ
 การจัดการของผู้จัดการมูลนิธิ 
                            
              ข้อ ๖. ทรัพย์สินและกิจการต่าง ๆ ของมูลนิธิ อยู่ในความบังคับบัญชาของคณะกรรมการเพื่อการนี้ 
              คณะกรรมการ มีอำนาจตราระเบียบหรือข้อบังคับใด ๆ โดยไม่ขัดแย้งกับตราสารนี้ 
              ข้อ ๗. คณะกรรมการของมูลนิธินี้มีอย่างมากไม่เกิน ๗ คน อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 
              ๕ คน ตามที่ได้จดทะเบียน เป็นครั้งแรกต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยให้เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสวัดท่าไทร 
              เป็นกรรมการที่ปรึกษาและควบคุมการดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ ให้คณะกรรมการเลือกกันเองเป็นประธานคนหนึ่ง 
              รองประธานคนหนึ่ง เหรัญญิกคนหนึ่ง และเลขานุการคนหนึ่ง
             
              ในกรณีที่ตำแหน่งกรรมการว่างลง กรรมการที่เหลืออยู่นั้น เป็นผู้พิจารณาเลือกบุคคลเข้าเป็นกรมการซ่อมแทนให้ครบจำนวน 
              ถ้าตำแหน่งประธานว่างลง ให้คณะกรรมการที่เหลือเลือกคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นประธาน 
              ในกรณีที่คณะกรรมการว่างลง ให้ประธานพิจารณาเสนอชื่อบุคคลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อ 
              ๑๓ เป็นกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่าง โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ 
              และผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งซ่อมให้อยู่ในตำแหน่งเพียงเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน             
              ในวาระเริ่มแรกนี้ คณะกรรมการดำเนินการ ได้แก่บุคคลตามรายชื่อกรรมการมูลนิธิ 
              "สิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ" ท้ายตราสารนี้ เพื่อให้กิจการของมูลนิธิได้ดำเนินการไปโดยติดต่อกันหนึ่งในสองของจำนวนกรรมการมูลนิธิ 
              ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการครั้งแรกต้องออกจากตำแหน่งโดยการจับสลากในเมื่อกรรมการมูลนิธิชุดแรกได้ทำหน้าที่ครบ 
              ๒ ปี แต่กรรมการที่ออกไปอาจได้รับเลือกตั้งอีกก็ได้
 ข้อ ๘.ประธาน เป็นผู้จัดการมูลนิธิ
 ถ้าประธานไม่อยู่หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ให้รองประธานทำหน้าที่แทนจนกว่าประธานจะมาปฏิบัติหน้าที่ได้
 ข้อ ๙.ในการทำนิติกรรมใด ๆ ของมูลนิธิ หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร 
              ตราสารและสรรพเอกสารอันเป็นหลักฐาน ของมูลนิธิและเกี่ยวกับอรรถคดี 
              จะต้องให้ประธานกรรมการ เลขานุการ และเหรัญญิก เป็นผู้ลงลายมือร่วมกัน
 ข้อ ๑๐.ให้มีการประชุมคณะกรรมการเป็นการประชุมสามัญประจำปีทุกปี ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 
              เพื่อพิจารณากิจการดังต่อไปนี้
 ๑๐.๑พิจารณาเกี่ยวกับกิจการของปีที่แล้วมา
 ๑๐.๒เลือกตั้งผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ
 ๑๐.๓ปรึกษากิจการอื่น ๆ ของมูลนิธิ
 ๑๐.๔ประชุมวิสามัญเพื่อพิจารณากิจการของมูลนิธิเป็นกรณีพิเศษ ในเมื่อคณะกรรมการไม่ต่ำกว่า 
              ๔ นาย ร้องขอให้มีการประชุม
 ข้อ ๑๑. การประชุมวิสามัญอาจมีในเมื่อประธานหรือผู้ทำการแทนเรียกประชุม 
              ตามที่เห็นสมควร หรือเมื่อมีกรรมการตั้งแต่ ๔ คนขึ้นไป แสดงความประสงค์ไปยังประธาน 
              หรือผู้ทำการแทนขอให้มีการประชุม ก็ให้ประธานหรือผู้ทำการแทนเรียกประชุมได้
 ข้อ ๑๒.ในการประชุมกรรมการทุกครั้ง ต้องมีกรรมการไปประชุมไม่น้อยกว่า 
              ๔ คน จึงเป็นองค์ประชุม ตามปกติให้เอาเสียงข้างมากเป็นเอกฉันท์ ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานเป็นผู้ชี้ขาดเว้นแต่มติตาม 
              ข้อ ๒๒. และข้อ ๒๓.
 ข้อ ๑๓.กรรมการแต่ละคนต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
 ๑๓.๑ มีอายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์
 ๑๓.๒ ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไร้ความสามารถ
 ๑๓.๓ มีความรู้ภาษาไทยอ่านออกเขียนได้
 ๑๓.๔ เป็นผู้มีคุณธรรมหรือศีลธรรมอันดี เป็นที่เชื่อถือของคนทั้งหลาย
 ข้อ ๑๔.กรรมการพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
 ๑๔.๑ อยู่ในตำแหน่งครบสี่ปี
 ๑๔.๒ ตายหรือลาออก
 ๑๔.๓ ขาดคุณสมบัติตามข้อ ๑๓
 ๑๔.๔ ต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด
 ๑๔.๕ เป็นผู้ประพฤติตนไม่เหมาะสมจนคณะกรรมการมีมติให้พ้นจากตำแหน่ง
 ข้อ ๑๕. เงินสดของมูลนิธิให้นำฝากธนาคารใดธนาคารหนึ่ง ในเขตอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี 
              หรืออำเภอกาญจนดิษฐ์ การสั่งจ่ายหรือฝากเงินจะต้องมีลายเซ็นของประธานกรรมการ 
              เหรัญญิก และเลขานุการลงชื่อด้วยทุกครั้ง ให้เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินได้ไม่เกินวงเงิน 
              ๒,๐๐๐.๐๐ บาท (สองพันบาทถ้วน)
 ข้อ ๑๖. การรับเงินที่มีผู้บริจาคสมทบหรือได้มาด้วยวิธีอื่นใด ๆ เหรัญญิกจะต้องออกใบเสร็จรับเงินให้ไว้เป็นหลักฐาน 
              ใบเสร็จรับเงินจะต้องมีลายเซ็นประธานเหรัญญิกและเลขานุการลงชื่อด้วยทุกครั้ง
 ข้อ ๑๗. มูลนิธิจะต้องมีผู้เก็บรักษาบัญชีรายรับ-รายจ่าย บัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน 
              ตลอดจนบัญชีอื่น ๆ ที่จำเป็น อันเกี่ยวกับมูลนิธิเพื่อแสดงฐานะของมูลนิธิโดยถูกต้อง 
              และรัดกุม ทั้งต้องรักษาเอกสารใบสำคัญต่าง ๆ อันเกี่ยวกับบัญชีไว้ให้ถูกต้อง 
              ให้มีผู้ตรวจสอบบัญชีตรวจบัญชีและทำเป็นหลักฐานของมูลนิธิด้วย
 ข้อ ๑๘. ผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ต้องไม่เป็นกรรมการหรือลูกจ้างของมูลนิธิ
 ข้อ ๑๙.ผู้สอบบัญชีมีอำนาจตรวจเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบัญชีของมูลนิธิ 
              และการตรวจบัญชีให้มีอำนาจสอบถามกรรมการและกรรมการใด ๆ ของมูลนิธิได้
 ข้อ ๒๐.ให้ทำบัญชีงบดุลย์ประจำปีซึ่งสิ้นสุดตามปีปฏิทิน เพื่อแสดงฐานะการเงินของมูลนิธิเมื่อสอบบัญชีรับรองแล้ว 
              ให้เสนอขออนุมัติต่อที่ประชุม
 ข้อ ๒๑.ในการจ่ายเงินของมูลนิธิประจำปี จะทำเป็นงบประมาณประจำปีไว้ก็ได้
 
 การแก้ไขตราสารการเลิกมูลนิธิ
             
              ข้อ ๒๒.ตราสารนี้จะแก้ไขเพิ่มเติมได้ก็แต่โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการข้อ ๒๓.ถ้ามูลนิธิต้องเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือโดยสาเหตุใด 
              ๆ ก็ตาม ให้ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดท่าไทร 
              ตำบลท่าทองใหม่ อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี
 ข้อ ๒๔.การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่มีกฎหมายได้บัญญัติไว้แล้ว 
              ให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิกด้วยเหตุดังต่อไปนี้
 ๒๔.๑เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้ว 
              ไม่ได้รับทรัพย์สินตามคำมั่นเต็มจำนวน
 ๒๔.๒เมื่อกรรมการมูลนิธิ ๒ ใน ๓ มีมติให้เลิกมูลนิธิ
 ๒๔.๓เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการที่ได้กำหนดไว้ในตราสาร
 ๒๔.๔เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด
 
 เบ็ดเตล็ด             
              ข้อ ๒๕.การตีความในตราสารของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัย ให้ประธานเป็นผู้ชี้ขาดข้อ ๒๖.ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยลักษณะมูลนิธิมาใช้บังคับ 
              ในเมื่อตราสารของมูลนิธินี้มิได้มีกำหนดไว้
 ข้อ ๒๗.มูลนิธิจะไม่กระทำการค้ากำไร และจะไม่ดำเนินการนอกเหนือไปจากตราสารที่กำหนดไว้
 *************************************** (ลงชื่อ) รัตนา 
              เฉลิมพิพัฒน์(นางสาวรัตนา เฉลิมพิพัฒน์)
 ผู้ทำตราสาร
 
    สำเนาถูกต้อง
 นางสาวรัตนา เฉลิมพิพัฒน์
 (นางสาวรัตนา เฉลิมพิพัฒน์)
 ผู้ริเริ่มจัดตั้ง
 
 ที่มา : หนังสือตราสารของ 
              "สิญจน์อุทิศดิตถารามมูลนิธิ"
 
 |